วัดสระเกศในอดีต
...ตำนานแร้งวัดสระเกศ...
หลายๆคนคงเคยได้ยินคำว่า "แร้งวัดสระเกศ เปรตวัดสุทัศน์" กันมา จนชินหู ทั้งสองวัดนี้...มักจะได้ยินพร้อมๆกันเสมอ...เพราะครั้งหนึ่ง มันเคยเป็นอย่างนั้นและมันคือ นรกจำลองดีๆนี่เอง...
โดยเฉพาะเรื่องของวัดสระเกศที่แต่ก่อนเป็นศูนย์รวมของแร้งนับพัน อันเนื่องมาจากโรคห่าระบาดในช่วงรัชกาลที่ 2 นั่นเอง สถิติคนตายตอนนั้นก็ไม่มากไม่มายเท่าไหร่หรอกตายไปสามหมื่นคนใน 15 วันเท่านั้น เท่านั้นจริงๆ
กรุงเทพตอนนั้น...กลายเป็นเมืองแห่งคนตายเลย เพราะคนที่มีชีวิตอยู่เห็นจะน้อยกว่าศพที่กองระเนระนาดไปทุกตารางนิ้ว แม้แต่แม่น้ำลำคลองก็ยังเต็มไปด้วยซากศพ จนใช้อาบใช้กินไม่ได้เลยทีเดียว คนตายกันไม่รู้วันละกี่พัน จะจัดพิธีทำศพก็ไม่ทัน จะฝังก็ไม่ทันอีก ไม่มีวิธีการไหนจะจัดการกับศพเหล่านั้นได้ สุดท้าย...ต้องขุดหลุมแล้วเอาศพมากองรวมกันไว้ที่นี่...วัดสระเกศ
นอกจากสมัยรัชกาลที่ 2 แล้วโรคห่าก็ระบาดกันทุกรัชกาลเลย เค้าก็จะเอามากองรวมกันที่วัดสระเกศ...ฝูงแร้งก็จะมารวมกันอยู่ที่นี่เยอะขึ้น เยอะขึ้น ตามลานวัด บนต้นไม้ บนกำแพง และหลังคากุฏิเต็มไปด้วยแร้ง แม้เจ้าหน้าที่จะถือไม้คอยไล่ก็ไม่อาจกั้นฝูงแร้งที่จ้องเข้ามารุมทึ้งซากศพอย่างหิวกระหายได้ และจิกกินซากศพจนเห็นกระดูกขาวโพลนเป็นที่น่าสยดสยองจึงเป็นที่กล่าวขวัญกันตามปรากฏดังภาพข้างล่าง
แร้งวัดสระเกศ บันทึกภาพในปีพ.ศ. 2440
นอกจากศพคนตายด้วยโรคห่าแล้วก็ยังมีศพที่ไม่ได้มาจากโรคห่าด้วย อย่างสมัยรัชกาลที่ 5 นี้...ทางคุกจะเอาศพนักโทษที่แก่ตายมาทิ้งไว้ที่นี่ ศพนักโทษประหารก็ด้วย...ถ้าไม่ขุดหลุมกลบก็จะแบกศพมาทั้งๆที่ไม่มีหัวนั่นแหละ และยังมีศพไร้ญาติอีกเอามาทิ้งไว้ที่นี่เหมือนกัน
แล้วทำไมต้องเป็นวัดสระเกศ??
ต้องบอกก่อนว่าสมัยก่อนเขาห้ามเผาศพกันในเมือง ใครตายต้องไปโน่นเลย...นอกกำแพงเมืองโน่น แล้วประตูเมืองที่เค้าอนุญาตให้เอาศพผ่านก็มีประตูเดียวที่เรียกว่า "ประตูผี" นั่นแหละ ทีนี้วัดสระเกศก็อยู่ใกล้กับประตูผีนั่นพอดี ผ่านประตูเมืองมาก็เจอกับวัดสระเกศเป็นวัดแรก...ถ้าจะให้ระบุตำแหน่งก็น่าจะอยู่ช่วงระหว่างเสาชิงช้าและวัดสระเกศหรือใกล้กับสี่แยกสำราญราษฎร์ในปัจจุบัน ก็เลยต้องเอาศพมาทิ้งที่นี่...เพราะสะดวกดี
ประตูผี
ก็เพราะมันเป็นอย่างนี้...เวลาพูดถึงแร้ง
เลยทำให้นึกไปถึงวัดอื่นไม่ได้นอกจาก...วัดสระเกศ
...เปรตวัดสุทัศน์...
แต่ถ้าพูดถึงแร้งวัดสระเกศแล้วและจะไม่พูดถึง "เปรตวัดสุทัศน์" ก็จะดู
เหมือนเป็นประโยคที่ไม่สมบูรณ์ เพราะเรามักจะได้ยินสองอย่างนี้คู่กัน
เสมอๆ สำหรับ "เปรต" นั้นก็เป็นชื่อเรียกของผีหรือมนุษย์ที่ทำบาปทำ
กรรมหนักหนาสาหัส เมื่อตายไปแล้วก็จะมาเกิดใหม่เป็นเปรตเพื่อชดใช้
กรรมที่ทำไว้เมื่อยังเป็นมนุษย์
เปรตนั้นก็มีหลายประเภทหลายลักษณะด้วยกัน แต่ภาพของเปรตที่คนส่วนมากจะคิดถึงก็คือต้องตัวสูงเท่าต้นตาล มือเท้าใหญ่เหมือนใบลาน ปากเท่ารูเข็ม ส่งเสียงร้องหวีดๆตอนกลางคืน และมักมาปรากฏตัวให้เห็นตอนกลางดึกเพื่อขอส่วนบุญ ส่วนคนที่ได้เห็นเปรตก็ถือว่าช่วงนั้นดวงต้องตก จึงต้องไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้เปรตตนนั้นเสีย
...เปรตวัดสุทัศน์ฯ มีที่มาอย่างไรเอ่ย??...
ความเชื่อแต่ครั้งต้นกรุงรัตนโกสินทร์เกี่ยวกับเรื่องราวของเปรตแห่งวัดสุทัศน์เทพวรารามราชวรมหาวิหารที่เล่ากันว่า ที่วัดแห่งนี้มักมีเปรตมาปรากฏกายในเวลากลางคืนเป็นที่น่ากลัวอย่างยิ่ง ประกอบกับอหิวาตกโรคที่ระบาดจนมีผู้คนล้มตายเป็นจำนวนมากในสมัยรัชกาลที่ 2 จนเผาศพแทบไม่ทัน ณ วัดสระเกศ จนมีคำคล้องจองกันว่า "เปรตวัดสุทัศน์ แร้งวัดสระเกศ"
ภาพเปรตในวัดสุทัศน์ฯ
ซึ่งแท้ที่จริงแล้วเรื่องเล่าเปรตวัดสุทัศน์ฯ นั้นมาจากภาพวาดบนฝาผนังในอุโบสถที่เป็นรูปเปรตตนหนึ่งนอนพาดกายและมีพระสงฆ์ยืนพิจารณาอยู่ ซึ่งภาพนี้มีชื่อเสียงมากในสมัยอดีตเป็นที่เลื่องลือกันของผู้ที่ไปที่วัดแห่งนี้ว่าต้องไปดู และสิ่งที่ผู้คนเห็นว่าเป็นเปรตนั้นผู้ที่อาศัยอยู่บริเวณวัดแห่งนี้มายาวนานบอกว่า แท้ที่จริงแล้วเป็นเงาของเสาชิงช้าที่อยู่หน้าวัด ในสายหมอกยามเช้าต่างหาก...
เสาชิงช้าวัดสุทัศน์ฯ
ที่มา : http://variety.teenee.com/world/33468.html
ข้อมูลและรูปภาพบางส่วนจาก : http://griffonmany.blogspot.jp/