ทุกประเทศย่อมมีตำนานแห่งวีรบุรุษและหลายตำนานที่วีรบุรุษเป็นเพียงคนธรรมดาที่ลุกขึ้นสู้อำนาจเผด็จการของทรราชย์ เพื่อนำพาชาวประชาสู่เสรีภาพที่แท้จริง เช่นดังตำนานของ วิลเลียม แทล วีรบุรุษแห่งแผ่นดินสวิสเซอร์แลนด์
เมื่อ 650 ปีก่อน จักรวรรดิออสเตรียได้ขยายอาณาเขตไปยังดินแดนต่าง ๆ รวมทั้งดินแดนสวิสเซอร์แลนด์ ซึ่งหลังจากยึดครองดินแดนแห่งนี้ได้แล้ว ออสเตรียได้ส่งข้าหลวงใหญ่นาม เกสเลอร์ มาปกครอง ทว่าชาวสวิสหาได้ยอมก้มหัวให้ทรราชย์จากต่างแดนไม่ โดยเหล่าผู้กล้าจากแคว้นทั้งสามของสวิสอันได้แก่ แคว้นสวิส แคว้นอูริ แคว้นอุนเทอร์วอลเดน ได้มารวมตัวกันยังทุ่งรูติ เพื่อปฏิญาณตนขับไล่กองทัพออสเตรียออกไปจากแผ่นดินมารดร
ข้าหลวงเกสเลอร์ซึ่งเป็นคนที่โหดเหี้ยม อำมหิต ได้ทำการปราบปรามผู้ต่อต้านด้วยความโหดร้ายทารุณ และเพื่อกดหัวมิให้ชาวสวิสลุกขึ้นสู้ เกสเลอร์ได้ปักเสาต้นหนึ่งที่จตุรัสกลางเมืองอัลดอร์ฟและแขวนหมวกของตนไว้ พร้อมติดประกาสว่า หมวกใบนี้คือตัวแทนอำนาจของเกสเลอร์ ข้าหลวงใหญ่ผู้ปกครองสวิสเซอร์แลนด์ ดังนั้นชาวสวิสทุกคนที่ผ่านมาทางนี้ต้องทำความเคารพหมวกใบนี้และหากใครไม่ทำ จะถูกลงโทษขั้นรุนแรง จากนั้นเกสเลอร์ได้จัดทหารจำนวนหนึ่งซุ่มคอยจับผู้ฝ่าฝืนไปลงโทษ
เวลานั้น วิลเลียม แทล เป็นนายพรานมือฉมังผู้เชี่ยวชาญการใช้หน้าไม้ยิ่งกว่าผู้ใด จนมีชื่อเสียงเป็นที่เลื่องลือ วันหนึ่ง วิลเลียม แทล และบุตรชายของเขา วิลเลียม วอลเตอร์ ได้เดินทางมาทำธุระในเมืองนั้น ครั้นเมื่อผ่านหมวกใบดังกล่าว วิลเลียม แทล ก็ไม่ได้สังเกตเห็นและไม่ได้ทำความเคารพ จึงถูกทหารของเกสเลอร์จับตัวไว้
เกสเลอร์เคยได้ยินชื่อเสียงของวิลเลียม แทล มาก่อน จึงอยากทดสอบฝีมือของเขา ดังนั้นจึงคิดแผนอำมหิตขึ้นมา โดยให้ทหารไปนำตัว เด็กน้อย วอลเตอร์ บุตรชายของวิลเลียม แทลมา และกล่าวกับเขาว่า
“ข้าได้ยินว่า เจ้ามีฝีมือในทางยิงหน้าไม้ยิ่งนัก จึงใคร่เห็นฝีมือว่าจะเก่งจริงดังคำลือหรือไม่ ข้าจะเอาผลแอปเปิ้ลวางบนศีรษะของบุตรชายของเจ้า และเจ้าจงยิงหน้าไม้ไปยังผลแอปเปิ้ลนั้นในระยะร้อยก้าว หากเจ้ายิงพลาด ข้าจะฆ่าเจ้าและบุตรของเจ้าเสีย”
วิลเลียม แทล โกรธแค้นในความอำมหิตของเกสเลอร์ยิ่งนัก และแม้ว่าเขาจะมีฝีมือในทางยิงหน้าไม้มากเพียงใด ทว่าเมื่อคราวนี้เป้าหมายวางอยู่บนศีรษะของบุตรชาย ก็ทำให้เขาอดรู้สึกหวาดหวั่นไม่ได้ ด้วยเกรงว่า หน้าไม้ของเขาจะพลาดไปสังหารบุตรชาย แต่หากไม่ทำ ทั้งชีวิตของเขาและลูกก็คงไม่พ้นน้ำมือเกสเลอร์ไปได้
ขณะที่แทลกำลังลังเลอยู่นั้น วอลเตอร์ บุตรชายของเขาได้ร้องตะโกนบอกให้บิดายิงหน้าไม้มา โดยกล่าวว่า เขาเชื่อมั่นว่า พ่อต้องไม่พลาด ในที่สุด วิลเลียม แทล จึงเล็งและยิงหน้าไม้ไปยังผลแอปเปิ้ลบนศีรษะของบุตรชาย
ลูกดอกเสียบทะลุผลแอปเปิ้ล โดยไม่ทำอันตรายเด็กชายแม้แต่น้อย
ฝูงชนที่มุงดู ต่างโห่ร้องยินดี ข้างเกสเลอร์เองก็อดตื่นเต้นไม่ได้กับฝีมืออันยอดเยี่ยมของแทล ทว่าเกสเลอร์ได้สังเกตเห็นว่า วิลเลียม แทล ยังมีลูกดอกเก็บไว้อีกดอกหนึ่ง จึงกล่าวขึ้นว่า
“เหตุใด เจ้าจึงหยิบลูกดอกขึ้นมาเตรียมไว้อีกลูกหนึ่ง”
“ที่ข้าเตรียมลูกดอกลูกนี้ไว้ ก็เพื่อว่าหากข้ายิงพลาดไปถูกบุตรชาย ข้าสาบานว่า ลูกดอกนี้จะปักเข้าที่หัวใจอำมหิตของเจ้า” วิลเลียม แทล ตอบอย่างห้าวหาญ
เกสเลอร์โกรธมาก จึงสั่งจับ แทล ไปขังไว้ในคุกใต้ดินซึ่งตั้งอยู่อีกเมืองหนึ่ง โดยเกสเลอร์คุมทหารกลุ่มหนึ่งนำตัวเขาลงเรือเล็กล่องข้ามทะเลสาปไปยังปราสาทที่คุมขังด้วยตนเอง แต่ในขณะที่เรือกำลังข้ามทะลสาปอยู่นั้น ได้เกิดพายุพัดจนมองไม่เห็นฝั่ง พวกออสเตรียมพากันกลัวว่าเรือจะจม วิลเลียม แทลจึงเบอกให้พวกนั้นแก้มัดเขา และเขาจะบังคับหางเสือเรือเข้าฝั่งให้เอง เกสเลอร์ไม่มีทางเลือกจึงทำตามนั้น ทว่า เมื่อแทลบังคับเรือเข้าใกล้ฝั่งเขากลับกระโดดลงน้ำและว่ายขึ้นฝั่ง โดยปล่อยให้เรือลอยคว้างกลางพายุต่อไป
อย่างไรก็ตาม เกสเลอร์ก็สามารถเอาตัวรอดจากพายุมาได้ ซึ่งเมื่อ วิลเลียม แทล ทราบเรื่อง ก็ตัดสินใจว่า จะปล่อยให้คนชั่วอย่างเกสเลอร์มีโอกาสกดขี่พี่น้องร่วมแผ่นดินของเขาต่อไปอีกไม่ได้ จึงไปดักซุ่มรอยังจุดที่เกสเลอร์กับพวกจะเดินทางผ่าน และเมื่อข้าหลวงใหญ่ขี่ม้าผ่านมา หน้าไม้ของแทลก็ลั่นไกส่งลูกดอกเสียบทะลุหัวใจ ร่วงลงจากหลังม้า ขาดใจตายในทันที
จากนั้น วิลเลียม แทล ก็กลายเป็นหัวหน้าผู้กล้าชาวสวิสต่อต้านออสเตรียจนในที่สุด ก็สามารถรวบรวมกำลังคนขับไล่กองทัพออสเตรียออกไปจากสวิสเซอร์แลนด์ได้สำเร็จ
อนุสาวรีย์วิลเลียม แทล
ในช่วงบั้นปลายชีวิต หลังจากปลดปล่อยบ้านเกิดเมืองนอนให้มีเสรีภาพได้แล้ว วิลเลียม แทล ได้ใช้ชีวิตอย่างสงบสุข จนมาวันหนึ่ง เขาได้เดินผ่านไปยังริมแม่น้ำและเห็นเด็กชายคนหนึ่งพลัดตกน้ำ จึงได้ลงไปช่วย ทว่าแม้เขาจะช่วยเด็กชายให้รอดชีวิตได้ แต่ตัวของวิลเลียม แทล เองกลับถูกกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวพัดจมหายไป
แม้ วิลเลียม แทล จะเสียชีวิตไปนานแล้ว แต่เรื่องราววีรกรรมอันห้าวหาญของเขา ก็ยังคงเป็นที่จดจำของชาวสวิสมาตราบจนทุกวันนี้