ชีวิตจริงยิ่งกว่านิยาย

 

 

 

 

 

เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ ไม่ใช่เรื่องของตัวเอง
แต่เป็นเรื่องของคนข้างบ้าน ถึงจะไม่ใกล้มาก แต่ก็เห็นกันมานาน

เมื่อตอนกลางวันนี้ผมโทรศัพท์ไปหาแม่เพื่อคุยสารทุกข์สุขดิบกันตามประสา
ถึงช่วงหนึ่งแม่ก็บอกว่า เมื่อคืนที่ผ่านมาไม่ว่าง เพราะไปงานศพ
ผมก็จำบทสนทนาคร่าวๆได้ประมาณนี้

ผม : ศพใครอะครับแม่

แม่ : น้า มอ(นามสมมุติ) ไง

ผม : ห๊ะ เป็นอะไรตายอะครับ (ในใจคิดว่าน้าเค้ายังหนุ่มแน่น ดูอายุไม่น่าเกิน 45) 

แม่ : ผูกคอตาย

ผม : (ช็อครอบสอง).. ทำไมทำอย่างนั้นอะครับ

แม่ : ก็เค้าคงเครียดหลายอย่างอะ ปีที่แล้วก็กินยาฆ่าแมลงแต่ล้างท้องได้ทัน มาปีนี้เลยแขวนคอ

ผม : แขวนที่ไหนอะครับ (ต่อมเจืออกทำงานสุดพลัง) 

แม่ : ที่บ้านนั่นแหละ 

ผม : แล้วใครมาเจอะครับ 

แม่ : ลูกชายเค้ากลับจากโรงเรียนมาเจอ น่าสงสารมากๆ เพิ่งจะ 9 ขวบ 10 ขวบเอง น้องเค้าก็น่าสงสารนะ ต้องมาเจอแต่เรื่องแบบนี้

อย่างปีที่แล้วก็ไปเจอยายตัวเองเป็นลมหน้าคว่ำ จนต้องผวาร้องไปหาคนมาช่วย เด็กอยู่แท้ๆ ปีนี้ต้องมาเจอศพพ่อตัวเองแขวนคออยู่ในบ้านซะนี่

ผม : แล้วน้องเค้าทำยังไงอะครับ

แม่ : ก็ไปเรียกคนมาดู ทีแรกเค้าก็นึกว่าเด็กน่ะพูดเล่น แต่พอมาดูก็พากันช็อคไปตามๆกัน ต้องวิ่งโร่ไปแจ้งความอะไรสารพัด

ผม : น่าสงสารเด็กมากๆอะ 

แม่ : ใช่ แม่รู้ครั้งแรกก็จุกที่อกเลย สงสารเด็ก สงสารเมียเค้า ไหนคนพี่ที่ยังเรียนหนังสือยังไม่จบอีก มาขาดพ่อไปจะทำยังไงกัน

ผม : แล้วทำไมเค้าถึงเครียดอะครับแม่ 

แม่ : ก็เพราะเหล้าแหละ เค้ากินเหล้าเยอะ การงานก็ทำไม่ไหว ญาติพี่น้องเตือนก็ไม่ฟัง เตือนก็ชวนทะเลาะ หรือไม่ก็ร้องไห้ พอ(ชื่อเมียน่ามอ) ก็เป็นคนดีนะ ขยันทำมาหากิน ตอนนี้ยังทำนาไม่เสร็จเลย ที่ทางก็ไม่ใช่ของตัวเอง ต้องไปทำของคนอื่นเค้า ทำแล้วแบ่งข้าวคนละครึ่งอีกต่างหาก

ผม : (ฟังแล้วก็สะท้อนใจสงสาร) 

แม่ : ที่เครียดก็คงเพราะวันก่อนเมาขับรถสูบน้ำตกลงคลองด้วยแหละมั้ง แล้วไม่มีเงินเอาไปซ่อม ฝนฟ้าก็ไม่ตก ทำนาก็ไม่ได้เงิน ทำกี่ปีๆก็จน คงกลายเป็นความเครียดสะสมเลยต้องหาทางออกแบบนี้ คิดแล้วก็ได้แต่สงสารคนเป็น...

ที่เอามาเล่าสู่กันฟังก็เพราะสงสารลูกๆของน้ามอเค้ามากๆครับที่ต้องมาเสียพ่อ
คนโตยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัยอยู่เลย ฐานะทางบ้านของน้าเค้าก็ไม่ดี

เรียกว่ายากจนก็ได้
แถมยังมีลูกชายคนเล็กที่ต้องมาเห็นสภาพผู้เป็นตายต่อหน้าต่อตาอีก
ตอนนี้ภาระทั้งหมดเลยมาตกอยู่กับน้าพอคนเดียว

ไหนจะต้องทำศพ ไหนจะต้องเลี้ยงดูลูกๆอีก คิดแล้วก็สงสาร 
ผมก็ได้แต่สงสารนั่นแหละ แต่ตัวเองก็ช่วยอะไรได้ไม่มาก พ่อกับแม่ผมก็ไปช่วยงานศพตามสมควร
คนในหมู่บ้านก็พากันหดหู่ใจและช่วยเหลือเรี่ยไรกันตามมีตามเกิด

ในอนาคต 2-5 ปีนี้ ต้องมากังวลอีกว่า ลูกสาวคนที่เรียนอยู่ จะได้เรียนจนจบไหม
แล้วอีก 5-10 ปี ลูกชายเนี่ยจะได้เรียนถึงขั้นไหน

เมื่อขาดเสาหลักไปแล้ว 
ความเครียดจากความยากจนเป็นเรื่องที่ใครหลายๆคนอาจจะไม่ค่อยเข้าใจกันมากนัก
แต่สำหรับชาวไรชาวนา

ถ้าเค้าบอกว่าไม่มีตัง ไม่ได้หมายความว่าเงิน = 0 
แต่หมายความว่า นอกจากไม่มีเงินแล้ว ยังมีหนีสินล้นพ้นตัวพัวพันกันอีกต่างหาก

 

ที่สำคัญไปกว่านั้นคือเหล้า ในมุมมองของตัวเองมันคือจุดเปลี่ยนที่ทำให้น้ามอต้องจบชีวติตัวเองแบบนี้
เริ่มแรกน้าเป็นคนที่ขยันขันแข็ง หนักเอาเบาสู้ (แม่ผมใช้คำว่าไม่ขี้เหนียวแรงเวลาทำงาน)
แต่ทำเท่าไหร่ ก็ไม่มีเงินซักที

ที่ทางของตัวเองก็ไม่มี ต้องเช่าเค้า ทำแล้วต้องแบ่ง 50 : 50 
ทำไปก็ไม่ได้อะไร เหนื่อยมาก็เครียด หาทางออกไม่ได้ สุดท้ายก็ต้องพึ่งเหล้า

ยิ่งกินยิ่งเมา ทำงานอะไรไม่ได้ เงินจากที่ไม่มีก็ยิ่งไม่มีเข้าไปใหญ่ เมื่อเมามากทำงานไม่ได้
ผลพวงแย่ๆก็ตามมา วนเวียนเกิดเป็นวัฏจักรที่ไม่รู้จักจบสิ้น และสุดท้ายน้ามอ ก็เลือกที่จะจบชีวิตตัวเอง

เจตนาของผมก็มีเพียงแค่อยากบอกเล่า อัดอั้นตันใจด้วยความสงสารลูกๆของน้าแกก็เท่านั้น
ที่เค้าว่า เด็กคือ อนาคตของชาติ... แต่พอมาฟังเรื่องที่แม่เล่าแล้วก็สะท้อนใจ
ถ้าอนาคตของเด็กถูกพรากด้วยลมหายใจของพ่อไปแล้วล่ะ? ชาติจะเป็นยังไง

Invisiblesane 
15 ชั่วโมงที่แล้ว


Credit: http://board.postjung.com/691321.html
15 ก.ค. 56 เวลา 08:35 3,239 2 110
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...