เมื่อวันที่ 10 กรกฎาคม "หมวดบี" ซึ่งถูกระบุว่าเป็น "ตำรวจนะยะ" ที่ปรากฏภาพแสดงท่าทางคล้ายผู้หญิงเซ็กซี่ในชุดเครื่องแบบตำรวจ ซึ่งเป็นกระแสวิจารณ์ในโลกออนไลน์ ให้สัมภาษณ์มติชนว่า หลังจากสื่อแพร่ภาพและข่าวออกไป ก็ได้รับการติดต่อจากผู้ใหญ่ในลักษณะของการตักเตือนว่าการแสดงกิริยาเช่นนั้นในเครื่องแบบดูไม่เหมาะสม แต่ก็ไม่ได้ว่าอะไรรุนแรง เป็นการตักเตือนด้วยความห่วงใย เพราะผู้ใหญ่เข้าใจดีว่าตนเป็นอย่างไร ตนก็น้อมรับ
"ได้อธิบายให้ผู้ใหญ่ทราบว่า ภาพที่ถ่ายในเครื่องแบบก็ถ่ายเล่น ๆ กับน้องผู้หญิง ผมเลยทำท่าสนุก ๆ ล้อเลียนกันเล่น ๆ ผมอยู่กับน้องผู้หญิงจะให้ไปทำท่าขึงขังแบบผู้ชายใส่น้องก็คงไม่ใช่ ถ่ายกันเล่น ๆ ด้วยกล้องถ่ายรูปของน้อง ผมทำไปด้วยความสนุกสนาน เมื่อภาพออกไปมันก็ดูไม่เหมาะ ภาพหนึ่งถ่ายที่ทะเล ผมก็ทำท่าเลียนแบบนางแบบขำๆ อีกภาพชุดนอนก็นึกสนุกเอาชุดของเพื่อนผู้หญิงมาถ่ายเล่น ผมก็ไม่ว่าอะไร ใครจะว่าเป็นตำรวจนะยะก็วิจารณ์กันไป แต่ตำรวจที่โรงพัก คนที่รู้จักผมเห็นแล้วขำ ก็ผมมีแฟนเป็นผู้หญิง แฟนผมเห็นก็ขำ ที่บ้านเห็นภาพก็ตกใจนิดหน่อยไม่เคยเห็นอะไรแบบนี้ ผมก็อธิบายไปว่าไม่มีอะไรเลยก็เข้าใจกัน ในเฟซบุ๊กผมมีภาพเยอะแยะ นอกจากภาพนี้ ภาพที่ผมดูขึงขังทำงานเป็นผู้ชาย เป็นตำรวจที่ทำงานเหมือนปกติ หรือที่ถ่ายกับแฟน กลับไม่ถูกหยิบออกมา แต่เข้าใจว่าคนชอบพูดถึงกันด้านลบมากกว่า ผู้ใหญ่บอกผมว่าภาพนี้หากจะเก็บไว้ในเฟซบุ๊กก็ตั้งค่าไว้ดูเป็นไพรเวทเสีย คนอื่นจะได้ไม่เห็น เก็บไว้ดูเล่นคนเดียวไม่ผิดอะไร เรื่องนี้รุ่นพี่นักเรียนนายร้อยตำรวจวิจารณ์กันเยอะ ต่อว่าเยอะว่าทำเสียสถาบัน ผมก็ได้ชี้แจงไปว่าผมมีภาพตั้งเยอะ แต่ภาพนี้ถูกหยิบไปพูดถึงเท่านั้น" หมวดบีกล่าว
เมื่อถามว่า มีความคิดเห็นอย่างไรกับเรื่องเพศที่ 3 กับการเป็นตำรวจ หมวดบี กล่าวว่า มุมมองตนมองว่าเรื่องการทำตามบทบาทหน้าที่สำคัญกว่าเรื่องเพศ ไม่สำคัญว่าจะเป็นเพศที่ 3 หรือไม่ ตนเห็นในทุกวงการ วงการบันเทิง นักแสดง นักร้อง หรือในหน่วยงานรัฐก็มีเพศที่ 3 ทั้งนั้น เป็นเรื่องปกติ ขึ้นอยู่กับคนนั้นยังทำตามหน้าที่อย่างเหมาะสมหรือไม่ ต้องดูว่าต่อให้เขาเพศไหน หากผู้นั้นมีคุณค่า มีประโยชน์ต่อองค์กร ก็ต้องผลักดัน ให้โอกาสโดยไม่ต้องคำนึงถึงเพศ