ฉันเป็นเอดส์!..ท้อง เพราะแฟนเพื่อนข่มขืน

 

 

 

 

 

 

 

ฉันเป็นเอดส์!. . .ท้อง เพราะแฟนเพื่อนข่มขืน

          ฉันเข้า รพ. เพื่อคลอดลูก  หมอบอกว่าฉันติดเชื้อเอชไอวี เลยให้ฉันทำหมัน ฉันลงชื่อยินยอม ไม่นานต่อมาปรากฏว่าฉันท้อง “เกิดอะไรขึ้น ทำไมถึงกลับมาท้อง”

          หกปีที่แล้วตอนที่ฉันเข้าโรงพยาบาลรัฐแห่งหนึ่งเพื่อคลอดลูกชายคนเล็ก หมอพบว่าฉันติดเชื้อเอชไอวีเลยบอกให้ฉันทำหมันหลังคลอดไปเลย ฉันลงชื่อยินยอมทำหมัน และใช้ชีวิตต่อมาอย่างระมัดระวัง พยายามดูแลสุขภาพ ดูแลลูกอย่างดี ตรวจร่างกายสม่ำเสมอ หลังจากนั้นไม่นานฉันได้งานทำจึงส่งลูกชายไปให้แม่สามีเลี้ยง ตัวเองก็เฝ้าพยาบาลสามีมาจนถึงวาระสุดท้ายในชีวิตของเขา เมื่อเหลือตัวคนเดียว ฉันยังคงทำงานและใช้ชีวิตอยู่กับเพื่อนฝูง ไปเยี่ยมลูกชายตามวาระโอกาส ไม่มีใครรู้ว่าฉันติดเชื้อเอชไอวี

          วันหนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ ฉันไปเยี่ยมเพื่อนสนิทที่บ้าน แต่พบเพียงสามีของเพื่อนที่ก็คุ้นเคยกันดี ฉันนั่งคุยกับเขาเพื่อรอเพื่อนกลับมา แต่กลับเกิดเหตุการณ์ไม่คาดคิดเมื่อจู่ๆ เขาเข้ามาทำร้ายร่างกายและข่มขืนฉัน ฉันนึกไม่ออกว่าต้องทำอย่างไร กลัวอยู่อย่างเดียวว่าเพื่อนจะกลับมาและเข้าใจฉันผิด ฉันรีบกลับบ้าน ล้างเนื้อล้างตัว และเข้านอน บอกกับตัวเองในใจว่าช่างมัน หลังจากนี้ค่อยคิดหาทางว่าจะบอกเพื่อนอย่างไรให้รู้ว่าสามีเป็นคนเลวมาก

          ไม่นานต่อมาปรากฏว่าฉันท้อง หมอที่คลินิกเป็นคนตรวจปัสสาวะให้ และแนะนำว่าให้กลับไปหาหมอคนที่ผ่าคลอดและทำหมันเพื่อให้เขาช่วยทำแท้งให้ คงเป็นเพราะเขาทำหมันให้ไม่ดีพอ ฉันจึงท้องได้อีก

          ฉันกลับไปที่โรงพยาบาลรัฐแห่งนั้น เขายังมีประวัติฉันอยู่ หมอคนหนึ่งตรวจท้องฉันและยืนยันว่าท้องจริงๆ ฉันบอกเขาว่าต้องช่วยเอาออกให้ฉันด้วยเพราะฉันมีลูกอีกไม่ได้แล้ว หลังจากนั้นฉันถูกเรียกเข้าไปในห้องที่มีอาจารย์หมอและหมอฝึกหัดนั่งกันอยู่เต็มไปหมด

          “เกิดอะไรขึ้นล่ะ ทำไมถึงกลับมาท้อง” คนที่ฉันเข้าใจว่าน่าจะเป็นอาจารย์หมอถามขึ้นมา ตลกดีนะ ฉันต่างหากที่น่าจะถามคำถามนี้กับเขา

          “ไม่ทราบเหมือนกันค่ะก็ทำหมันไปแล้ว”

          “มีลูกกี่คนแล้ว”

          “สองคนค่ะ”

          “ผู้หญิงหรือผู้ชาย”

          “ผู้ชายทั้งสองคนค่ะ”

          “ท้องนี้อาจจะเป็นผู้หญิงก็ได้นะ ไม่เอาไว้เหรอ” ตลกอีกแล้วไหมล่ะ ฉันคิดในใจ รู้ทั้งรู้ว่าฉันติดเอดส์ ฉันทำหมันแล้ว แล้วยังมาถามคำถามแบบนี้ได้ยังไง ฉันเหลียวมองไปรอบๆ หมอฝึกหัดนั่งกันหน้าสลอนรอฟังคำตอบจากฉัน ด้านหลังยังมีคนไข้อีกหลายคนนั่งรอคิวอยู่ ฉันระงับความรู้สึกตอบกลับไปว่าไม่เป็นไรแล้วรีบลุกเดินออกมา

          ฉันขอพบนักสังคมสงเคราะห์ เล่าเรื่องให้ฟังคร่าวๆ เขาบอกว่าจะรับเรื่องไว้ให้ หลังจากนั้นฉันรออีกเกือบเดือนจนท้องเข้าเดือนที่สาม ทางโรงพยาบาลแจ้งว่าให้ไปตรวจร่างกาย ฉันต้องผ่านกระบวนการตรวจร่างกายและถูกซักรายละเอียดอีกหลายรอบ ในที่สุดเขาบอกว่าอีกสองอาทิตย์จะติดต่อกลับไป ฉันรอด้วยความกระวนกระวายใจมาก จะออกจากบ้านไปไหนก็ไม่กล้า กลัวว่าถ้าทางโรงพยาบาลโทรศัพท์มาแล้วเพื่อนที่อยู่บ้านเดียวกันเป็นคนรับ ความจะแตกกันพอดี

          ในที่สุดทางโรงพยาบาลก็โทรศัพท์มาแจ้งวันให้เข้าไปรับการรักษา เมื่อไปถึงโรงพยาบาล เจ้าหน้าที่คนหนึ่งถือใบประวัติของฉันและพาเดินไปขึ้นลิฟท์ เขาก้มลงอ่านใบประวัติของฉัน

          “ทำไมถึงเอาออก” ใจหายวาบ ฉันไม่นึกว่าเขาจะถามออกมาในลิฟท์ซึ่งมีคนยืนอยู่เต็ม ฉันหันหน้าไปทางอื่น ไม่มองหน้าเขาและไม่ตอบ พอไปถึงแผนกสูติกรรม หมอคนหนึ่งเรียกฉันเข้าไปคุย เขาอธิบายวิธีการทำแท้งที่เขาจะทำให้ฉันซึ่งคือการเหน็บยา ตอนนั้นฉันอยากรู้มากว่าจะทำอย่างไร จะเกิดอะไรขึ้นกับตัวฉันบ้าง แต่ก็ไม่กล้าถาม หมอทำหน้ายุ่งตลอดเวลาและสั่งงานพยาบาลด้วยน้ำเสียงห้วนมาก

          หลังจากนั้น พยาบาลให้ฉันนอนบนเตียง หมอเข้ามาเหน็บยาให้

          “นอนนิ่งๆ ซักสองชั่วโมงนะ อย่าเพิ่งลุกเดินเดี๋ยวยามันหลุด มันอาจจะมีปวดท้องเหมือนจะมีประจำเดือนนิดหน่อยนะ ถ้าปวดมากหรือมีเลือดออกก็กดเรียกพยาบาลเลย ถ้ายังไม่มีอะไรเกิดขึ้นพรุ่งนี้เช้าหมอจะเหน็บเพิ่มให้” หมอพูดรัวเร็วก่อนจะเดินออกไปโดยฉันไม่มีโอกาสได้ซักถาม

          หมอเหน็บยาตอนประมาณบ่ายสามโมง ราวๆ สี่ทุ่มฉันเริ่มปวดฉี่ ลุกเข้าห้องน้ำไปฉี่ก็รู้สึกเหมือนมีก้อนอะไรบางอย่างถ่วงๆ หนักๆ อยู่ตรงท้องน้อย ฉันลุกไปฉี่แทบจะทุกยี่สิบนาที แต่ก็ยังไม่มีอะไรออกมาจากช่องคลอด ฉันนอนคิดว่าคงจะต้องเหน็บยาอีกรอบแน่ๆ แต่แล้วความรู้สึกเหมือนมีน้ำไหลรินออกมาจากช่องคลอด เป็นเลือดจางๆ ฉันรีบกดเรียกพยาบาล ผู้ช่วยพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาดู

          “เป็นอะไร”

          “เลือดมันออก”

          ผู้ช่วยพยาบาลเดินออกไปและกลับเข้ามาใหม่พร้อมกับแผ่นซับ

          “ถ้ามีอะไรออกมาก็กดเรียกนะ”

          ฉันเริ่มปวด กระสับกระส่าย ยกขาสองข้างขึ้นชันเข่า รู้สึกว่าเลือดเริ่มรินออกมาอีกนิดหน่อย ประมาณตีหนึ่ง ความปวดเริ่มแผ่ส่านมากขึ้น มีลมเบ่งมาเป็นระยะๆเหมือนร่างกายอยากจะเบ่งอะไรสักอย่างออกมา จะหลุดก็ไม่หลุด กระวนกระวายมาก สักพักก็เหมือนกับมีน้ำออกมาเยอะมาก ฉันตกใจรีบกดเรียกพยาบาลอีกรอบ พยาบาลเข้ามาดูบอกว่าเป็นน้ำคร่ำ “ยังไม่ใช่นะ” ว่าแล้วก็เดินกลับออกไป ใจจริงในตอนนั้นฉันอยากให้เขานั่งอยู่ด้วยเพราะฉันไม่รู้ว่ากำลังจะเกิดอะไรขึ้นตัวเองบ้าง

           ราวๆตีสอง เริ่มเจ็บจนทนไม่ไหว สองมือลูบท้องเบาๆ

           “อย่าให้ทรมานเลย แม่คงไม่มีบุญให้เกิดหรอกนะ ไว้ชาติหน้าก็แล้วกัน ชาตินี้แม่จะทำบุญไปให้ตลอดนะ ไม่ต้องกลัว”

          ราวปาฎิหารย์ อะไรบางอย่างลื่นๆเหมือนวุ้นเคลื่อนพ้นช่องคลอดออกมา แผ่นซับเปียกชุ่ม ฉันกดออดเรียกพยาบาล

          “เอ้า ออกมาแล้วนี่ แต่รกยังไม่ออก นอนรออีกเดี๋ยวนะ ให้รกหลุดออกมาก่อน อาจจะเจ็บอีกนิดหน่อย ถ้ารกออกมาแล้วกดเรียกเลยนะ” ว่าแล้วก็เดินกลับไป ฉันหมดแรงจนไม่อาจอ้าปากเรียกเขาได้ทัน อยากให้เปลี่ยนแผ่นซับให้หน่อยเพราะมันเปียกชุ่มและเหม็นคาวมาก

          นอนหมดแรงอยู่สักพัก ความปวดเบาลงไปเยอะ เริ่มปวดฉี่ ฉันกดเรียกพยาบาล เขาไม่ให้ลุก แต่เอากระโถนมารองให้ฉี่ทั้งๆที่นอนอยู่อย่างนั้น พยาบาลประคองสะโพกฉันไว้ พยายามไม่ให้วุ้นก้อนนั้นกระทบกระเทือน

          “รกมันยังคาอยู่” เขาบอก ฉันพยักหน้ารับ น้ำตาซึมด้วยความรู้สึกบางอย่างที่เริ่มท่วมท้นหัวใจ ฉี่ไม่ออก ก็ในห้องนั้นมันไม่ได้มีแต่ฉันคนเดียว คนไข้หลายคนนอนกันเรียงราย

          พยาบาลเดินออกไปกันจนหมด ฉันนอนนิ่งอยู่กับความเงียบ ขาสองข้างที่ชันขึ้นไว้เริ่มสั่นล้า ปวดหลังอย่างรุนแรงบวกกับความที่อยากจะเห็นเขา ฉันชันตัวขึ้น ก้มลงไปดู โธ่ลูก หนูอาจจะเกิดจากใครก็ไม่รู้ แต่หนูก็เป็นลูกแม่ ทำไมหนูไม่ไปเกิดกับคนที่เขาพร้อม คนที่เขาไม่เป็นโรคอย่างแม่

          พยาบาลสองคนเดินเข้ามาดู

          “อุ๊ย ยังไม่ออกอีกเหรอ นี่ผู้ชายนะเนี่ย” พยาบาลก้มลงดูใกล้ๆ ฉันถอนหายใจแผ่วยาว ได้แต่พร่ำพูดอยู่ในใจ

          “ยกโทษให้แม่นะ แม่ไม่ตั้งใจ ต้องเข้าใจนะว่าเกิดออกมาแล้วหนูจะมีชีวิตได้ยาวนานแค่ไหน มันจะเป็นบาปกว่าไหม หนูมาใหม่ชาติหน้านะลูก มาตอนที่แม่สุขภาพดีกว่านี้”

          วินาทีนั้นฉันอยากให้ผู้ชายคนนั้นมันได้เห็น ฉันอยากพูดให้มันฟัง มันอาจไม่คิดอะไรก็ได้ แต่จะพูดให้มันได้ยินว่า แกมีส่วนทำให้ชีวิตหนึ่งที่เขาอยากเกิดขึ้นมา ต้องไม่ได้เกิด บาปครั้งนี้แกกับฉันร่วมกันทำ อีกใจหนึ่งฉันหวนนึกไปถึงสามีที่ตายจากไป ถ้าคุณรู้จักพอ คุณคงไม่เอาโรคร้ายมาติดลูกติดเมีย ฉันคงไม่ต้องมาเจอวันที่ชีวิตมันโหดร้ายอย่างนี้

          หกโมงเช้า หมอคนหนึ่งเดินเข้ามา ฉันใจชื้นขึ้นมาหน่อย เดี๋ยวหมอคงดึงเอารกออก หมอใส่ถุงมือแล้วล้วงเข้าไปในมดลูก เขาออกแรงดึงอยู่ชั่วอึดใจ

          “ไม่ออก เดี๋ยวจะให้น้ำเกลือกับยาเร่งนะ” เอาเลย ฉันคิดอยู่ในใจ อะไรก็ได้ ขอให้ช่วยฉันที

          ยาเริ่มออกฤทธิ์ ฉันปวดท้องแต่ยังไม่มากเท่าไร จนสิบเอ็ดโมง ยังไม่มีอะไรออกมา รอบตัวมีแต่กลิ่นคาวคละคลุ้ง

          หมอคนใหม่เดินเข้ามา เขาส่ายหน้าเมื่อเห็นสภาพของฉัน ไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ หมอใส่ถุงมือและเริ่มล้วงเข้าไปในช่องคลอด อีกมือก็กดหน้าท้องฉันเป็นจังหวะซ้ำๆ อะไรบางอย่างหลุดผ่านช่องคลอดออกมา หมอยังคงกดหน้าท้องและทำท่าเหมือนโกยอะไรออกจากตัวฉัน

          “น่าจะหมดแล้ว ยังเจ็บอยู่ไหม” ฉันส่ายหน้าช้าๆ ไม่มีแรงจะเปล่งเสียงออกมา

          “นอนนิ่งๆ สักพักนะ ถ้าปวดก็กดเรียกพยาบาล” หมอพูดก่อนจะเดินออกไป ผู้ช่วยพยาบาลเข้ามาทำความสะอาด เปลี่ยนแผ่นซับแผ่นใหม่ และบอกให้ฉันลุกไปเข้าห้องน้ำชำระร่างกาย 

          “เออ หนอ มนุษย์เราช่างไม่มีน้ำใจเอาเสียเลย” ฉันได้แต่อัดอั้นตันใจและรวบรวมเรี่ยวแรงเท่าที่มีอยู่ ช่วยตัวเองให้มากที่สุด

          เป็นเวลาห้าคืนหกวันที่ฉันอยู่โรงพยาบาล พยาบาลบางคนพูดจาดีมีน้ำใจ เข้ามาช่วยป้อนข้าวให้ ในขณะที่บางคนถากถางทั้งด้วยแววตา น้ำเสียงและถ้อยคำ รวมไปถึงการกระทำ

          เหตุการณ์ครั้งนั้นผ่านไป แต่ในใจฉัน ทุกอย่างยังคงแจ่มชัด สิ่งที่ได้เห็น ได้ยิน สัมผัสและรับรู้อยู่ในใจ ใครบอกว่าหลุดออกมาแล้วก็สิ้นเรื่อง สำหรับฉัน มันคือความสะเทือนใจทุกครั้งที่ผุดขึ้นมาในความทรงจำ ทั้งสิ่งที่คนกระทำกับฉัน และสิ่งที่ฉันได้ทำลงไป

  

 

 

 

 

 

ข้อมูลและภาพประกอบจาก

 

 

 

 

 

Credit: http://board.postjung.com/690023.html
9 ก.ค. 56 เวลา 08:31 3,078 2 110
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...