Jeffrey Lionel Dahmer (1960 -1994)
โดย ปกติแล้ว เวลามีคดีร้ายแรงเกิดขึ้นในอเมริกา ตำรวจมักจะพุ่งเป้าหมายในการสืบสวนไปยังคนผิวดำ คดีของเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์จึงเป็นเหมือนข้อค้านต่อค่านิยมเช่นนั้นว่า คนผิวขาวมีการศึกษาก็สามารถเป็นฆาตกรได้เช่นกัน
22 กรกฎาคม 1991 เวลา 23.30น.รัฐวิสคอนซิน เมืองมิลโวคี ขณะที่นายตำรวจ 2 คนกำลังลาดตระเวณอยู่บริเวณดาวน์ทาวน์ มีชายผิวดำซึ่งใส่กุญแจมือไว้ยังมือข้างซ้ายวิ่งเข้ามาขอความช่วยเหลือ เมื่อตำรวจตามชายดังกล่าวไปยังออกซ์ฟอร์ดอพาร์ทเมนท์ ห้อง 213 ก็พบกับชายหนุ่มผิวขาวผมบรอนด์เปิดประตูออกมารับด้วยท่าทีสงบเงียบใจเย็น และชายคนนี้ก็คือเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์นั่นเอง
กล่าวว่า ในครั้งแรกนั้นตำรวจยังไม่ได้สงสัยในตัวเจฟฟรีย์อย่างจริงจังอะไรนัก พวกเขาเพียงแต่รู้สึกว่าห้องของเจฟฟรีย์มีกลิ่นเหม็นมากจนน่าแปลกใจที่เจ้า ตัวอาศัยอยู่อย่างนี้ได้อย่างไรเป็นความบังเอิญที่หนึ่งในตำรวจเหลือบไปเห็น รูปถ่ายของศพที่ถูกตัดเป็นชิ้นๆ เมื่อพวกเขารวบตัวเจฟฟรีย์ที่พยายามจะหนีไว้และทำการตรวจห้อง ก็พบกับที่มาของกลิ่นเหม็น.....หัวคนในตู้เย็น
ในตู้เย็นมีหัวคน 4 หัวกับชิ้นเนื้อและเครื่องในมนุษย์ที่ถูกแพ๊คไว้ในถุงพลาสติก ชั้นบนของที่วางของมีกระโหลกมนุษย์ 3 หัวเก็บอยู่ ส่วนชั้นล่างวางกระดูกชิ้นส่วนอื่นๆ ในกล่องกระดาษมีกระโหลกอีก 2 หัวและอัลบั้มภาพถ่ายอันสุดจะบรรยาย หม้อบนเตากำลังต้มส่วนศีรษะมนุษย์ 2 หัวซึ่งกำลังเปื่อยได้ที่ บนพื้นมีเศษผิวหนังกับนิ้วมือตกอยู่และในถังสีฟ้าซึ่งวางไว้ที่โถงประตู ภายในคือส่วนร่างกายมนุษย์ 3 คนซึ่งถูกทำให้ละลายด้วยกรดเกลือ
ถังกรดเกลือของเจฟฟรีย์
เจ ฟฟรีย์ ดาห์เมอร์เกิดเมื่อ 21 พฤษภาคม 1960 เป็นบุตรชายคนโตของไลโอเนลและจอยส์ ดาห์เมอร์ ซึ่งในขณะนั้น ไลโอเนลผู้เป็นพ่อยังเป็นนักศึกษาในมหาลัยอยู่ซึ่งภายหลังไลโอเนลได้กล่าวใน หนังสือของเขาว่า
"ในตอนนั้น พวกผมคงยังไม่พร้อมจะมีลูก"
จอยส์แพ้ ท้องอย่างรุนแรงและกินยาต่างๆวันหนึ่งถึง 26 เม็ด หลังจากที่เจฟฟรีย์เกิดมา ไลโอเนลก็ทุ่มตัวให้กับการเรียนจนได้ปริญญาบัตรดอกเตอร์ด้านการวิจัยเคมีใน ปี 1966 ทางด้านจอยส์นั้น จากเดิมที่มีอาการประสาทอ่อนๆสภาพจิตใจของเธอก็ไม่ปกตินักมาตลอดเนื่องจาก ความเครียดจากการเลี้ยงบุตร และมีการทะเลาะกับไลโอเนลบ่อยครั้ง เมื่อเธอท้องลูกคนที่สองก็ทานยาจำนวนมากอีกและต้องนอนอยู่เกือบตลอดเวลา วัยเด็กของเจฟฟรีย์จึงเติบโตมาพร้อมกับมารดาซึ่งมีอาการฮิสทีเรียกับบิดา ซึ่งยุ่งอยู่กับการวิจัยจนไม่ได้ใส่ใจครอบครัว
เจฟฟรีย์ในวัยเด็ก เป็นคนเก็บเนื้อเก็บตัวและชอบอยู่คนเดียวในป่าใกล้บ้านมากกว่าออกไปเล่นกับ เด็กๆคนอื่น เขาติดใจในชุดทดลองวิทยาศาสตร์ที่พ่อซื้อให้ และเอาศพของสัตว์ตัวเล็กๆมาละลายด้วยกรดหรือดองฟอร์มาลีนบ่อยๆ เมื่อเข้าชั้นมัธยม เจฟฟรีย์ถูกจับตามองว่ามีไอคิวสูง แต่เนื่องจากสภาพจิตใจที่ไม่ปกตินักและการขาดสมาธิ ทำให้ผลการเรียนจึงไม่ดีเท่าที่ควร หนำซ้ำเขายังก่อเรื่องมากมายจนถูกตีตราว่าเป็นเด็กมีปัญหา และในขณะเดียวกัน ความสัมพันธ์ของบิดามารดาก็แย่ลงเรื่อยๆจนมีการใช้เชือกแบ่งอาณาเขตในบ้าน ก่อนที่ทั้งสองจะหย่ากันในปี 1978
ในช่วงนี้ เจฟฟรีย์กำลังจะเรียนจบชั้นมัธยม น้องชายของเขาไปอยู่กับแม่ที่ย้ายออกไปแล้ว บ่อยครั้งที่ในบ้านจะมีเขาอยู่เพียงลำพัง และในขณะเดียวกันเจฟฟรีย์ก็เพิ่งรู้ตัวว่าตัวเองเป็นเกย์ เขากลุ้มใจ ด้วยขนาดเพื่อนยังไม่มีเลย แล้วจะไปหาคนรักมาจากไหน เจฟฟรีย์เริ่มจินตนาการถึงคนรักในความคิด..คนรักที่ไม่ทรยศ ไม่ต่อล้อต่อเถียงและไม่หนีไปจากเขา ซึ่งภาพในจินตนาการนั้นยิ่งนานก็เหมือนศพมากกว่าคนเป็นๆ
กลางเดือน มิถุนายนปี 1978 เจฟฟรีย์พบกับนักโบกรถชื่อสตีเว่น ฮิกซ์ (19) เขาตกหลุมรักอีกฝ่ายและเอาเหล้ากับกัญชามาหลอกล่อพาสตีเว่นกลับบ้านซึ่งไม่ มีใครอยู่ ทั้งสองคุยกันอย่างถูกคอ แต่เมื่อสตีเว่นจะลากลับบ้าน เจฟฟรีย์ที่ไม่อยากให้เขากลับไปก็ตีเขาด้วยพลั่วและบีบคอจนตาย หลังจากข่มขืนศพแล้วก็ตัดศพเป็นชิ้นๆซ่อนไว้ในห้องใต้ดินพักหนึ่งจนเมื่อศพ เน่าจึงเอาฝังในป่า และเหมือนจะหนีจากความผิดของตัวเอง เจฟฟรีย์เริ่มดื่มเหล้าหนักจนกลายเป็นโรคติดแอลกอฮอลล์
ไลโอเนลแต่ง งานใหม่กับชาลีซึ่งเป็นภรรยาคนที่สอง เขาสนับสนุนให้เจฟฟรีย์เข้าเรียนในมหาวิทยาลัยรัฐโอไฮโอ หากโรคติดเหล้าก็ทำให้เจฟฟรีย์ขาดเรียนบ่อยๆจนต้องลาออกหลังจากจบเทอมแรก ไลโอเนลจึงส่งเขาเข้ากองทัพบกไปประจำอยู่ที่เยอรมัน แต่เจฟฟรีย์ก็เอาแต่ดื่มเหล้าจนไม่เป็นอันทำงานอีกจนถูกถอดออกจากกองทัพ (ในระหว่างนี้ ในเยอรมันมีคดีฆาตกรรม 5 คดีที่เชื่อว่าน่าจะเป็นฝีมือของเจฟฟรีย์ หากก็ไม่มีหลักฐานยืนยัน) ไลโอเนลซึ่งจนปัญญา ตัดสินใจส่งลูกชายไปอยู่กับย่าซึ่งในปี 1985 เขาก็ได้งานในบริษัทแอมโบรเชียช็อคโกแลทในมิลโวคี
หลังจากได้งานไม่นาน นัก เจฟฟรีย์ไปบาร์เกย์บ่อยๆ แต่ด้วยความที่เป็นคนขี้อายจึงหาพาร์ทเนอร์ไม่ได้เสียที วิธีที่เขาคิดออกคือการผสมยานอนหลับลงในเหล้าของคนอื่น ซึ่งในไม่ช้าก็มีเรื่องร้องเรียนไปยังทางบาร์มากมายจนมีคำสั่งขึ้นชื่อเจ ฟฟรีย์เป็นแขกไม่พึงประสงค์ และในช่วงนี้เองที่เขาถูกจับเนื่องจากทำอนาจารเด็กชายสองคน
15 กันยายน 1987 เจฟฟรีย์พบกับสตีเว่น ทูโอมี่ (24) ที่บาร์เกย์อีกแห่ง หลังจากดื่มเหล้าคุยกันถูกคอแล้ว ทั้งสองก็ไปโรงแรมด้วยกัน หากเมื่อเจฟฟรีย์ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า สตีเว่นก็กลายเป็นศพมีเลือดไหลออกจากปากเสียแล้ว เจฟฟรีย์ให้การในภายหลังว่าเขาเมาจนจำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น รู้แต่ว่าตัวเองคงจะบีบคออีกฝ่ายจนตาย เจฟฟรีย์รีบซ่อนศพไว้ในตู้เสื้อผ้าแล้วออกไปซื้อกระเป๋าเดินทางมาบรรจุศพเอา กลับไปยังบ้านย่าเพื่อตัดเป็นชิ้นๆในห้องใต้ดิน ศพถูกแบ่งใส่ถุงพลาสติกและนำไปทิ้งที่ที่ทิ้งขยะ มีแต่ส่วนหัวที่นำมาต้มจนเหลือแต่กระโหลกแล้วเก็บไว้
16 มกราคม 1988 เจฟฟรีย์หลอกเจมส์ ดอกส์เตเตอร์ (14) ซึ่งเป็นเนย์ทีพอเมริกันว่ามีงานถ่ายแบบให้และพากลับบ้าน หลังจากที่เหยื่อหลับด้วยยานอนหลับซึ่งผสมอยู่ในเครื่องดื่มแล้ว เขาก็บีบคออีกฝ่ายจนตาย ศพถูกตัดแบ่งเป็นชิ้นๆแล้วละลายด้วยกรด กระโหลกศีรษะถูกเก็บไว้เป็นที่ระลึกเช่นคราวที่แล้ว
24 มีนาคม เจฟฟรีย์หลอกริชาร์ด เกอเรโร่ (23) เชื้อสายฮิสปานิคกลับบ้านด้วยวิธีเดียวกับคราวที่แล้ว แต่คราวนี้เขามีการเตรียมชุดมีดสำหรับหั่นเนื้อเอาไว้พร้อม
มาถึงตอนนี้ ย่าของเขาเริ่มบ่นเรื่องกลิ่มเหม็นในห้องใต้ดิน เมื่อไลโอเนลมาตรวจดูก็พบเพียงของเหลวสีดำที่เลอะอยู่ทั่วพื้นโดยไม่มีสิ่งผิดปกติอย่างอื่น ไลโอเนลซึ่งเห็นว่าไม่ควรให้ลูกชายอยู่รบกวนย่าต่อไป จึงแนะนำให้เขาออกมาอยู่ด้วยตัวเอง
25 กันยายน ไม่ถึง 24 ชั่วโมงหลังจากที่เขาย้ายบ้านเสร็จ เจฟฟรีย์พาเคย์สัน สินธาสมพน เด็กชายชาวลาวมายังที่อยู่ใหม่ของเขาและให้ดื่มยานอนหลับ แต่เคย์สันก็หนีออกมาได้ เจฟฟรีย์ถูกจับ หากเมื่อจ่ายค่าประกันหนึ่งหมื่นดอลล่าร์แล้วเขาก็ถูกปล่อยตัวในอีก 1 อาทิตย์ให้หลัง
25 มีนาคม1989 เจฟฟรีย์อยู่ระหว่างการควบคุมความประพฤติในคดีของเคย์สัน แต่ก็ยังไม่วายทักแอนโทนี่ เชียร์ส (26) ที่บาร์เกย์และพาไปยังบ้านย่า (ไม่พากลับอพาร์ทเมนท์ตัวเองเพราะตำรวจจับตาดูความประพฤติอยู่) หลังจากฆ่าแล้วก็ละลายด้วยกรดเช่นทุกที กระโหลกศีรษะและอวัยวะเพศถูกเก็บไว้เป็นที่ระลึก
23 พฤษภาคม เจฟฟรีย์ถูกตัดสินจำคุก 1 ปีซึ่งได้รับอนุญาติให้ไปทำงานตามปกติจากที่คุมขังได้ แน่นอนว่าจะแวะไปบาร์เกย์ก็ได้เช่นกัน เห็นได้ชัดว่าการถูกจำคุกนี้ไม่ได้ช่วยเปลี่ยนแปลงความประพฤติของเขาเลย
3 มีนาคม 1990 เขาถูกปล่อยตัวเป็นการชั่วคราว เจฟฟรีย์เช่าห้องหมายเลข 213 ของอพาร์ทเมนทในเขตเหนือ 25 บ้านเลขที่ 924 ภายหลังที่นี่ถูกเรียกว่าเป็น"วิหารของเจฟฟรีย์ ดาห์เมอร์"
พอเข้าเดือนพฤษภาคม เจฟฟรีย์ก็เริ่มงานของเขาอีก
29 พฤษภาคม เรย์มอนด์ สมิธ (33)ถูกฆ่า
14 มิถุนายน เอ็ดดี้ สมิธ (27)ถูกฆ่า
เดือน กรกฎาคม เจฟฟรีย์ปล่อยเหยื่อคนหนึ่งให้หลุดมือไปได้ และในเดือนกันยายน เจฟฟรีย์ก็เพิ่มรายการใหม่เข้ามาในการฆ่าของเขา การกินเนื้อคนนั่นเอง
3 กันยายน เจฟฟรีย์หลอกเออร์เนส มิลเลอร์ (22) มายังอพาร์ทเมนท์ หลังจากฆ่าปาดคอแล้วก็ผ่าท้องศพในห้องน้ำและข่มขืนศพ เนื้อส่วนหนึ่งถูกนำมาทำเป็นสเต็กกิน
22 กันยายน เดวิด โทมัส(23) ถูกฆ่า
18 กุมภาพันธ์ 1991 เคอร์ตีส สตรอสเตอร์ (19) ถูกฆ่า
ที่ เจฟฟรีย์ใช้ยานอนหลับกับเหยื่อเป็นเพราะเขาเกรงกลัวการถูกปฏิเสธจากอีกฝ่าย และเพื่อที่จะได้มาซึ่งคนรักที่ไม่ทรยศ ไม่ปฏิเสธและไม่หนีไปไหน เจฟฟรีย์ก็วิวัฒนาการขึ้นไปอีกขั้น เขาตัดสินใจจะสร้างซอมบี้ขึ้นมาด้วยการผ่าตัดสมอง
9 เมษายน หลังจากให้เออร์รอล ลินด์ซีย์ (19) ดื่มยานอนหลับแล้ว เจฟฟรีย์ก็เจาะศีรษะเขาด้วยสว่านแล้วกรอกกรดเกลือลงไปในสมอง เออร์รอลตื่นขึ้นมาร้องโวยวาย เจฟฟรีย์จึงบีบคอฆ่าทิ้งเสีย
24 พฤษภาคม โทนี่ ฮิวจส์ (31) ซึ่งเป็นใบ้ถูกฆ่า
27 พฤษภาคม โดยที่ยังมีศพของโทนี่อยู่ในห้อง เจฟฟรีย์ทักโคเนรัก สินธาสมพน (14) ที่ศูนย์การค้าแห่งหนึ่ง ซึ่งเด็กคนนี้เป็นน้องชายของเคย์สันที่ได้กล่าวไปข้างต้นนั่นเอง (ไม่ทราบแน่ว่าเจฟฟรีย์ทักโคเนรักโดยรู้เรื่องนี้หรือไม่) หลังจากให้ดื่มยานอนหลับและข่มขืนแล้ว เจฟฟรีย์ก็เจาะศีรษะเด็กชายแล้วกรอกกรดเกลือลงไป หลังจากนั้นเขาออกไปซื้อเบียร์ ซึ่งเมื่อกลับมาก็พบโคเนรักออกมานอกห้องทั้งๆที่ไม่ใส่เสื้อผ้า ตำรวจที่รับเรื่องเห็นว่าเจฟฟรีย์เป็นคนผิวขาวจึงเชื่อคำพูดของเขาว่านี่ เป็นเพียงการทะเลาะกันของคู่เกย์ธรรมดา เมื่อตรวจดูห้องนั่งเล่นแล้วก็ถอนตัวกลับไป ในความเป็นจริง หากมีการตรวจค้นมากกว่านี้อีกสักนิด (ในห้องนอนยังมีศพของโทนี่อยู่) เจฟฟรีย์ก็คงจะถูกจับเสียแต่ตอนนี้แล้ว แน่นอนว่าโคเนรักไม่รอด เขาถูกหั่นเป็นชิ้นๆและถูกกิน
เห็นได้ชัดว่าเจฟฟรีย์เริ่มขาดความ ระวังในการก่อคดี ทั้งการนำเหยื่อเข้ามาในห้องที่มีศพอยู่ และการทิ้งเหยื่อไว้แล้วออกไปข้างนอก เป็นไปได้ว่า เขาเริ่มสูญเสียความสามารถในการแยกแยะเหตุการณ์ไปแล้วก็ได้ ซึ่งทำให้ความถี่ของการก่อคดีหลังจากนี้แคบลงเรื่อยๆ
29 มิถุนายนแมทท์ เทอเนอร์ (20)ถูกฆ่า
6 กรกฎาคม เจเรเมียห์ เวนเบอร์เกอร์ (23) ถูกฆ่า
15 กรกฎาคม โอลิเวอร์ ลาซี่ (23) ถูกฆ่า
19 กรกฎาคม โจเซฟ แบรดฮอลท์ (25) ถูกฆ่า
ใน ตอนนี้ เจฟฟรีย์โดนไล่ออกจากงานที่ทำอยู่ เขาค้างค่าเช่าจนจะถูกไล่ออกจากอพาร์ทเมนท์ปลายเดือนพฤษภาคมนี้เอง เขาจึงฆ่าอย่างไม่เลือก นี่อาจจะเป็นการส่งท้ายสำหรับวิหารของเขาก็เป็นได้
และในวันที่ 22 กรกฎาคม เทรซี่ เอ็ดเวิร์ดซึ่งหนีออกมาได้ก็ทำให้เขาถูกจับในที่สุด
เนื่อง จากรัฐวิสคอนซินได้ยกเลิกโทษประหารไปแล้ว เจฟฟรีย์จึงถูกตัดสินโทษจำคุกตลอดชีวิต และในวันที่ 28 พฤศจิกายน 1994 ก็ถูกนักโทษคนอื่นทุบด้วยท่อนเหล็กจนตายขณะรับเวรทำความสะอาด
ไลโอเนล ดาห์เมอร์ได้ออกหนังสือ A Father's Story ซึ่งใจความตอนหนึ่งกล่าวไว้เช่นนี้
'การ เป็นพ่อคนเป็นปริศนาอันยิ่งใหญ่ เมื่อคิดว่าลูกชายอีกคนของผมก็คงจะเป็นพ่อในวันหนึ่งเช่นกัน ผมก็ได้แต่บอกกับเขาและคนอีกหลายคนที่จะเป็นพ่อในอนาคตเช่นนี้
"จงระวัง และขอให้พยายามให้เต็มที่" '
ราย ได้ที่ได้จากหนังสือเล่มดังกล่าวถูกมอบให้กับครอบครัวของผู้เคราะห์ร้าย หากเนื่องจากส่วนหนึ่งที่ไม่พอใจได้ทำการฟ้องศาลว่าไลโอเนลไม่รับผิดชอบใน การเลี้ยงดูบุตร เงินส่วนมากจึงถูกหักไปเป็นค่าใช้จ่ายในการดำเนินคดี