เมื่อประมาณเดือนกรกฎาคมปีที่แล้ว “เมธี ทับทิมทอง” หรือที่เพื่อนๆ เรียกกันติดปากว่า “เทม” ตัดสินใจกลับมาบวชทดแทนผู้มีพระคุณที่เมืองไทย และปักหลักอยู่ที่เมืองไทย เพราะเกิดหลงเสน่ห์เมืองไทยและคนไทยเข้าอย่างจัง แม้ว่าคุณพ่อคุณแม่และน้องชายยังคงใช้ชีวิตอยู่ที่อังกฤษก็ตาม
“ผมชอบบรรยากาศของเมืองไทย มาอยู่ที่นี่ค่อนข้างแฮปปี้นะ เพราะผมไม่เคยอยู่เมืองไทยมาก่อน อย่างมากก็ได้กลับมาไทยช่วงซัมเมอร์ที่อังกฤษปีละครั้ง ที่นั่นฝนตก อากาศครึ้มตลอด นานๆ จะมีแดดออกมาที แต่ที่ไทยอากาศร้อนตลอด พอถึงวันหยุด คิดจะไปที่ไหนก็ได้เที่ยวทั้งปี ผมชอบความหลากหลายของเมืองไทย ชีวิตไนต์ไลฟ์ก็สนุกมาก ชอบวัฒนธรรมของที่นี่ คนเฟรนด์ลี่กว่าเยอะครับ
ตอนที่เพิ่งกลับมาเมืองไทยใหม่ๆ สองเดือนแรกผมไปฝึกงานอยู่ที่โรงแรมพระยา พาลาซโซ ตอนนั้นเขาเพิ่งเปลี่ยนการจัดการใหม่ ทำให้ขาดสตาฟฟ์ที่พูดภาษาอังกฤษได้ แล้วผมเข้าไปพอดี ก็เลยได้ไปทำในส่วนของ Service Manager ซึ่งสิ่งที่ผมชอบคือ ข้างหลังโรงแรมจะเป็นชุมชน ผมต้องเดินผ่านทุกวัน บางวันเดินๆ อยู่ก็จะมีชาวบ้านมาชวนผมพูดคุยและกินอาหารอีสานด้วยกันกับเขา ซึ่งที่อังกฤษจะหาชีวิตแบบนี้ไม่ได้เลย ผมชอบชีวิตที่ไม่มีการปรุงแต่ง เพราะฉะนั้นที่เมืองไทยจึงเหมาะสมที่สุด”
แต่งานโรงแรมไม่ใช่ความฝันของหนุ่มอายุ 23 ปีคนนี้ ในเมื่อเขาเรียบจบมาทางด้าน Performing Art จากมหาวิทยาลัยเคนซิงตัน เขาจึงเริ่มเดินตามความฝันด้วยการไปเรียนร้องเพลง แคสติ้งงานตามที่ต่างๆ และมีโอกาสได้ถ่ายแบบลงนิตยสารบ้างเล็กๆ น้อยๆ ล่าสุดเทมได้ไปลองทดสอบการเป็นผู้ประกาศข่าวภาษาอังกฤษ พร้อมๆ กับการเตรียมตัวสำหรับเข้าประกวดเวทีปั้นดาวต่างๆ ในเมืองไทย
ระหว่างที่ได้เป็นการ์ด ทำให้เทมได้รู้จักกับรุ่นพี่ที่เคยเป็นทหารมาก่อน จนเขาเริ่มหันเหความสนใจไปที่การเป็นทหารหน่วยคอมมานโดของอังกฤษ จนทำให้เขาตัดสินใจเข้าฝึกจนเกือบจะได้ไปเป็นทหารอังกฤษเต็มตัว
“ตอนผมเรียนมัธยมผมก็เคยฝึกทหารมาก่อน คล้ายๆ กับฝึก รด. ของบ้านเรา ประมาณอายุ 13 จนถึง 17 ปี แต่ตอนโตได้ไปฝึกกับทหารคอมมานโดของอังกฤษเก่าที่เกษียณแล้ว ซึ่งถือเป็นทหารที่มีชื่อเสียง ได้เข้าไปฝึกบนภูเขา ฝึกเอาตัวรอดเหมือนทหารทุกอย่าง เพราะครูฝึกอยากให้ผมพร้อมก่อนการสอบคัดเลือกจริงๆ ซึ่งถือว่าหนักมาก ผมฝึกไปจนถึงระดับที่ 5 จากทั้งหมด 8 ระดับ ถ้าผมจบขั้นที่ 8 ผมก็จะกลับมาเมืองไทยไม่ได้ เพราะเขาจะส่งผมเข้าไปในค่ายทหารอีก 8 เดือน เพื่อให้ผมพร้อมออกรบทันที”
แม้ว่าลูกจะมีความตั้งใจจริงกับการเป็นทหาร แต่ทางคุณพ่อคุณแม่ของเทมก็อดเป็นห่วงไม่ได้ ทั้งครอบครัวจึงมาปรึกษากันอีกที ในที่สุดเทมก็ตัดสินใจพักการเป็นทหาร และเบนเข็มมาสนใจการแสดงที่เขาเรียนจบมาโดยตรง
“คุณพ่อคุณแม่บอกว่าเราเรียนมาขนาดนี้แล้ว ถ้าเราเกิดเป็นอะไรขึ้นมาเราทำงานอย่างอื่นไม่ได้ จะได้ไม่คุ้มเสีย พ่อแม่ผมบอกว่า ถ้าผมพูดว่า ...ไม่อยากเป็นอะไรอีกแล้วในชีวิตนอกจากเป็นทหาร ท่านก็จะไม่ขัดข้อง แต่ผมเองก็อยากลองงานแสดง เพราะผมเรียนจบมาด้านนี้ สำหรับทหารผมก็อยากเป็นอยู่ เพราะฝึกมาจนถึงระดับ 5 สามารถพักได้ 3 ปี และกลับไปฝึกต่อได้เลย แต่ถ้าเกินจากนั้นจะถูกตัดชื่อออก ส่วนของหน่วยคอมมานโด ผมสามารถเข้าร่วมได้จนถึงอายุ 32 ผมก็เลยอยากกลับมาลองทำตามความฝันที่เมืองไทยดูก่อน”
ระหว่างพูดคุย สังเกตได้ว่าภาษาไทยของเทมค่อนข้างดี อาจจะมีติดสำเนียงภาษาอังกฤษไปบ้าง แต่สำหรับเด็กหนุ่มที่อาศัยอยู่ต่างประเทศมาตั้งแต่เกิด นับว่าดีมากทีเดียว ซึ่งเทมบอกว่า คุณพ่อคุณแม่บังคับให้พูดภาษาไทยตอนอยู่ที่บ้านตั้งแต่เด็กๆ “ไม่อย่างนั้นผมก็จะพูดไม่ได้แน่ๆ เพราะรอบข้างเป็นฝรั่งหมดเลย เพื่อนคนไทยก็มีน้อยด้วย แต่เรื่องเขียน-อ่าน ภาษาไทย ผมยังไม่ได้นะครับ ตอนที่ผมไปแคสต์งานหนึ่ง ทีมงานส่งสคริปต์ให้ผมเป็นภาษาไทย ก็แย่เลย แต่เขาก็มาช่วยด้วยการแปลเป็นภาษาอังกฤษให้อีกที”
เทมเล่าให้ฟังว่า ตอนเด็กๆ เขาเป็นเด็กบู๊เลยทีเดียว จนทำให้คุณพ่อคุณแม่เป็นห่วง เพราะชอบเข้าไปอยู่ในสถานการณ์ผิดที่ผิดเวลาเสมอๆ ทั้งที่เขายืนยันว่าไม่เคยหาเรื่องใครก่อน
ที่มาจาก http://www.manager.co.th/CelebOnline/ViewNews.aspx?NewsID=9560000077556