ถ้าเราเป็นคนที่ช่างสังเกตอะไรรอบ ๆ ตัวเยอะ ๆ จะพบว่ามันมีเรื่องที่น่าสงสัยอยู่มากมายจริง ๆ เลย แม้แต่ในสิ่งของที่ธรรมดา ๆ อย่างเช่น “เทียนไข” ก็ยังมีปริศนาน่าฉงนซ่อนอยู่ด้วยนะ
ถ้าพูดถึงไฟเราก็นึกถึงว่ามันร้อน มันเผาสิ่งที่เป็นเชื้อเพลิงเล็ก ๆ ได้หมดในพริบตา เคยสงสัยไหมว่าทำไมไส้เทียนถึงได้ทนทานนัก ทำไมมันไม่ถูกไฟเผาหายวับไปซึ่งนั่นจะทำให้เปลวเทียนดับลง?
หึหึ…บางทีเวลาที่ตั้งคำถามกับเรื่องธรรมดาพวกนี้ มันชอบทำให้แอดมินฉุกคิดว่า “เอ๊ะ!…เราคิดว่าเรารู้ แต่ที่จริงเราไม่รู้นี่หว่า” อ่ะ…ลองมาดูกันหน่อย
องค์ประกอบของเทียนไขก็มี เนื้อเทียนไขที่ทำจากสเตียริน(stearin:สารผสมระหว่างกรดสเตียริกและกรดปาล์มิติก ใช้ทำเทียนไข สบู่ ฯลฯ) และไส้เทียนทำจากเส้นใยที่ชุบด้วยสารป้องกันการเผาไหม้และเคลือบด้วยขี้ผึ้ง เมื่อเราจุดไฟ เปลวไฟนั้นเกิดจากการสันดาปของไอสเตียริน เมื่อเกิดการสันดาปสเตียรินที่เผาไหม้สมบูรณ์จะกลายเป็นก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และน้ำ ส่วนที่เผาไหม้ไม่สมบูรณ์จะทำให้เกิดควันเทียน
แล้วทำไมไส้ตรงกลางไม่ไหม้หมดไปก่อนล่ะ?
ก็เพราะว่าเปลวเทียนนั้นเกิดจากการเผาไหม้ของสเตียรินในเนื้อเทียน ไม่ได้เกิดจากการเผาไหม้ของไส้เทียนโดยตรง ไส้เทียนเป็นแค่พาหะที่คอยดึงเอาสเตียรินที่หลอมละลายขึ้นมาเท่านั้น เมื่อสเตียรินได้รับความร้อนจากเปลวไฟมันก็ระเหยเป็นไอ เผาไหม้และแผ่ความร้อนออกมาละลายเนื้อเทียนข้างล่าง เป็นแบบนี้ไปเรื่อย ๆ
แต่ไส้เทียนที่ทำจากใยฝ้ายนั้นก็ต้องชุบสารป้องกันไฟด้วยเพื่อไม่ให้มันถูกเผาไหม้เร็วเกินไป เพราะจะทำให้เปลวไฟดับลงเนื่องจากไม่มีสเตียรินที่ถูกดูดซับขึ้นมาป้อนเป็นเชื้อเพลิง แต่ในขณะเดียวกันไส้เทียนก็ต้องเคลือบด้วยขี้ผึ้งหรือสารอื่นที่ติดไฟง่ายอีกที ไม่งั้นก็จะจุดไฟไม่ติด เมื่อเราจุดไฟ ขี้ผึ้งที่เคลือบอยู่บนไส้เทียนก็จะลุกไหม้ ความร้อนนั้นก็จะหลอมเนื้อเทียนให้ระเหยเป็นไอสเตียรินและลุกไหม้เป็นเปลวเทียน โดยที่ไส้เทียนจะถูกเผาไหม้ช้ามาก ๆ อย่างที่เราเห็น เพราะว่ามันไม่ใช่เชื้อเพลิงตัวจริงนั่นเอง
เหตุผลก็มีอยู่แค่นั้นแหละ แต่จะว่าไปแล้วเมื่อพูดถึงเรื่องไฟทำให้แอดมินนึกถึงเรื่องที่ฝังใจขำ ๆ อยู่เรื่องนึงนอกจากเรื่องที่เคยจุดไฟเผาหัวเด็กข้างบ้านน่ะนะ (อุบัติเหตุนะ รายละเอียดตามไปอ่านได้ “คลิกที่นี่“)
ต่อไปนี้เป็นเรื่องเล่าไร้สาระนิดหน่อย…
แต่ก่อน เวลาที่ไฟฟ้าขัดข้องตอนค่ำ ๆ แอดมินจะรู้สึกว่ามันสนุกดีเวลาบรรยากาศในบ้านมืด ๆ แล้วก็ต้องจุดเทียน ชอบนั่งดูไฟแล้วก็ทดลองเล่นอะไรเล็ก ๆ น้อย ๆ กับเปลวไฟ เช่น เอาสีเทียนมาลนไฟแล้วปั้น เอาไอ้นั่นไอ้นี่แปลก ๆ มาลองเผา ที่จริงมันก็แค่เทียนไข ก็แค่เปลวไฟ แต่ก็ทำให้เด็กเล็ก ๆ คนนึงเรียนรู้รายละเอียดหลายอย่างเกี่ยวกับมัน บางเรื่องมันก็เป็นแค่เรื่องทั่วไปนั่นแหละแต่มีหลายคนไม่เคยสังเกต ไม่เคยสงสัย ไม่เคยนึกถึง
มีอยู่ช่วงนึงตอนที่แอดมินเด็ก ๆ ช่วงนั้นเขากำลังฮิตพวกเครื่องประดับที่ทำจากหินกันอยู่พักหนึ่ง และหนึ่งในหินพวกนั้นก็จะมีหินหยกที่ถูกมองว่ามีราคากว่าเขาสักหน่อย เวลามีงานออกร้านก็จะมีของพวกนี้ขายอยู่ทั่วไป
หินหยกจะเป็นหินที่มีเนื้อเย็น พวกคนขายก็คิดหาวิธีพิสูจน์ให้คนซื้อดูว่าหยกที่ตัวเองขายนั้นมันของจริงหรือของปลอม โดยบอกว่าหยกจริงนั้นจะเย็นมาก ถึงขนาดที่ว่าถ้าเอาเส้นผมผูกไว้ แล้วเอาไฟลนที่เส้นผม(ตรงที่แนบกับเนื้อหยก) ถ้าเป็นหยกแท้เส้นผมจะไม่ขาดนะ และก็มีการทดลองทำให้ดูกันจะ ๆ ด้วย ประมาณว่า โอ้โห…มหัศจรรย์จังเลย! ที่จริงแอดมินก็ไม่ได้มีความรู้เรื่องหินหรือเรื่องหยกอะไรหรอก รู้แค่ว่าใครเชื่อก็บ้าแล้วทริกซ์นี้เนี่ย แต่ปรากฏว่าคนก็เชื่อกันทั่วบ้านทั่วเมืองเลยแฮะ
โดยปกติเปลวไฟมันจะมีจุดที่ร้อน แล้วก็จุดที่ไม่ร้อนเท่าไหร่ ถ้าเส้นผมที่ผูกติดกับหินนั้นอยู่ที่ตรงกลาง ๆ ของเปลวไฟ มันจะอยู่ได้สักพัก แต่ถ้ายกสูงกว่านั้นอีกหน่อยมันก็จะไหม้ทันทีแน่นอน ไม่เกี่ยวกับความแท้หรือไม่แท้ของหินหยกอะไรนั่นเลย
โอเค…ก็ช่างเถอะ ถ้ามันเป็นผลดีต่อคนขายเป็นความพอใจของคนซื้อ ก็ไม่ใช่เรื่องเสียหายอะไร แต่ก็มีเพื่อนของแอดมินคนนึงซื้อกำไลหยกมา เธอตื่นเต้นมากกับความมหัศจรรย์ของมันเกี่ยวกับเรื่องเส้นผมนั่นแหละ แอดมินนึกสนุกขึ้นมา ก็เลยไปท้าพนันกับเพื่อนว่า หยกเนี่ยไม่ใช่ของแท้หรอก มันเป็นของปลอมแน่ ๆ เพื่อนก็ไม่พอใจ ท้าให้พิสูจน์ เรียกคนอื่น ๆ มาเป็นพยานมากมายเพราะมั่นใจมากตามประสาเด็ก
แอดมินก็ประกาศอย่างใจร้ายเลยว่าไอ้กำไลเนี่ยของปลอม เดี๋ยวทำให้ดู เอาตามวิธีที่เขาพิสูจน์กันเลยด้วยเอ้า… เสร็จแล้วก็เอาเส้นผมมามัดติดกำไลของเพื่อน แล้วปีนขึ้นไปยืนบนโต๊ะหินอ่อน(ให้คนอื่นเห็นกันชัด ๆ) แล้วใช้ไฟแช็คลนเส้นผม ไม่ถึงเสี้ยววินาทีกำไลหินก็หลุดจากเส้นผมแล้วล่วงลงกระทบโต๊ะหินอ่อน แตกเป็นสองท่อนเลย แอดมินก็ตกใจที่ทำของ ๆ เพื่อนพัง (ก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันตกแตก แต่รับไม่ทัน) แต่ก็หัวเราะบอกว่า “เห็นมั้ยของปลอมจริง ๆ ด้วย”
ปรากฏว่าเพื่อนโกรธมากนะ ร้องไห้เลย เพราะแม่ของเธอซื้อให้ ราคาประมาณ 600 บาท ซึ่งสำหรับเด็กก็ถือว่าเป็นของแพงอยู่เหมือนกัน… แอดมินก็ขอโทษ แล้วก็สัญญาจะซื้อให้ใหม่ แต่เรื่องมันไม่ใช่แค่นั้นไง ประเด็นมันอยู่ที่เรื่องของความรู้สึก…รู้สึกเสียหน้า รู้สึกว่าถูกแกล้ง รู้สึกว่าถูกหลอก อะไรทำนองนั้น แอดมินก็รู้สึกผิดอยู่นะ แต่ด้วยความเป็นเด็กก็ไม่ได้โทษตัวเอง ก็โทษเพื่อน ‘อะไร้ ไร้สาระจัง เรื่องแค่นี้ต้องโกรธกันจริง ๆ ด้วยเหรอ…แล้วไม่อยากรู้เหรอว่าทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้น?’
วันรุ่งขึ้นก็ไปบ่นกับ ดร. (ครูที่สนิทกัน)
แอดมิน : (ฟ้อง…เล่าเรื่องให้ฟัง) น่าเบื่อจังทำไมพวกเขาไม่เคยเรียนรู้ที่จะยอมรับอะไรตามความเป็นจริงเลย อยากเชื่อแต่เรื่องเหลวไหล
ดร. : ช่าย…พวกเขาไม่เคยเรียนรู้ที่จะมองอะไรตามความเป็นจริง และคุณเองก็ไม่เคยเรียนรู้ที่จะเสนอความจริงแต่พองาม ในความเห็นของผม คนสองประเภทนี้มีความโง่เท่าเทียมกัน
เอ้อ…มันก็จริงของเขานะ พอฟังอย่างนั้นแล้วทำให้รู้สึกว่าตัวเองโง่ขึ้นมาทันทีเลย แล้วก็ทำให้คิดในมุมกลับว่า ตอนนั้นเราเอาอะไรมามั่นใจว่าคนตั้งเยอะที่ดูอยู่นั้นไม่รู้เกี่ยวกับเรื่องนี้ พวกเขาหลายคนก็อาจจะรู้ก็ได้ แต่เขา “ฉลาดพอ” ที่จะไม่พูด และเฝ้าดูคนโง่ ๆ คนหนึ่งทำร้ายคนโง่ ๆ อีกคนหนึ่ง…
เรื่องบางเรื่อง ความจริงและเหตุผล มันก็อาจจะไม่สำคัญเท่าไหร่…ก็ได้แต่หวังว่าตัวเองจะไม่ทำอะไรโง่ ๆ บ่อยนัก