บันทึกของผู้ชายคนหนึ่ง ที่รู้ว่าตัวเองเป็นเอดส์

 

 

 

 

 

พอดีไปเจอ บันทึกของผู้ชายคนหนึ่ง ที่รู้ว่าตัวเองเป็นเอดส์ ลองอ่านดูเผื่อมีเเง่คิดๆดีให้ครับ อ่านเเลวน้ำตาจะไหล ขอเป็นกำลังใจให้นะครับ 



ผมเพิ่งทราบจากผลตรวจของโรงพยาบาลที่มีชื่อแห่งหนึ่ง 
เลือดผมเป็น Positive ผมมึนตื้บ..เลยครับ..ทำอะไรไม่ถูก.. 
มือไม้สั่น สมองหมุนเคว้งคว้าง...ไม่อยากทำอะไรทั้งนั้น...คิดแต่ว่า ทำไงดี ? 
ทำไงดี ถามตัวเองอยู่อย่างนั้น...ผมอยากมีคนรับฟัง ไม่รู้จะเริ่มต้นอย่างไร 
ควรบอกใครดี..ผมต้องทำอย่างไรครับ...ช่วยผมด้วย...ฮือๆๆ 

เมื่อ 2 ปีก่อนผมตรวจ HIV ก็ไม่มีอาการอะไร แต่ตอนนี้ผมต้องทำอย่างไร 
ผมมีคนรัก ผมกำลังเรียน ป.โท ได้ปีแรก.. 
ทั้ง 2 อย่างเป็นความฝัน..ของผมที่ผมอยากทำ... 
ตอนนี้ ชีวิตผมพังหมดแล้ว..ผมควรทำไงดี ช่วยผมด้วย ผมอยากตะโกนให้สุดเสียง.. 

สิ้นแรงใจ ไร้แรงฝัน 
อ่อนปวกเปียก ไร้กำลัง 
มองหันหลัง มืดมน 
มองหาคนเคียงข้าง...อยากร้องไห้.. 

หลังจากที่ผมทราบผลเลือด กายใจอ่อนทรุด อยากจะหยุดทุกอย่าง 
นั่งทรุดแล้วร้องไห้ๆๆ ร้องไห้สุดๆ ให้เต็มที่ ให้สาแก่ใจ... 
แต่ผมไม่ได้ทำอะไร ยังคงนั่งทำงานตามปกติ แต่พิมพ์แป้นคอมฯ ไม่เป็นคำเลย.. 
นึกถึงคนรักที่คบหากัน..ผมรักเขามากเหลือเกิน มากเกินกว่าที่บรรยายได้.. 
ผมจีบเขาอยู่เป็นเดือนๆ กว่าเขาจะยอมคุยกับผม..ก่อนหน้าที่ผมจะทราบผลเลือด 3 วัน 
เรามีโอกาสได้คุยกันมากขึ้น และ ตกลงที่จะลองดูๆ กันไป .. ซึ่งเป็นข่าวดีที่สุดในชีวิตผมแล้ว.. 

ตอนผมเจอแฟน(ผู้ชาย) ผมบอกกับตัวเองว่า ผมอยากดูแลคนคนนี้ไปตลอดชีวิต 
ผมจะทำเพื่อผู้ชายคนนี้ ทั้งที่ตอนนั้น เขาไม่ได้ใยดีผมเลย โทรไปตัดสายทิ้ง.. 
โทรไปเป็นสิบสาย ไม่โทรกลับ ส่งข้อความไปก็เงียบ...นัดแล้วก็ไม่มา ผมรอเป็นชั่วโมง.. 
คือ เขาทำทุกอย่างเพื่อให้ผมไปจากเขา ... แต่วันที่เราตกลงจะลองดูๆ ใจกันไป... 
มันเป็นข่าวที่ดีที่สุดในชีวิตแล้ว..ผมบอกตัวเองว่า ผมจะหยุดเที่ยว เก็บเงินเพื่อเขา 
อยากซื้อของสารพัดให้เขา อยากอยู่กับเขา จะรักเขาไม่น้อยไปกว่าพ่อ-แม่เขา.. 
หากเขาโกรธผมจะง้อ..หากเขาหิว ผมจะทำกำข้าวให้กิน ...ผมจะอยู่เคียงข้างเขาตลอดไป.. 
ทุกอย่างมันกำลังจะไปได้ดีมากๆ 
อีก 1 ปีผมก็จะจบปริญญาโท ผมหวังว่า ผมจะได้เงินเดือนสูงขึ้น ได้ดูแลเขาอย่างที่อยากทำ 

ตอนนี้ผมควรจะคิดเรื่องอะไรต่อดี... 

เมื่อเจอเธอ ฉันเพิ่งเข้าใจว่า "รัก" คืออะไร 
อยากให้เธอมั่นใจ..ฉันไม่มีวันจะจากเธอ... 
เพราะ เธอ คือ หัวใจเพียงดวงเดียวของฉัน 

แต่ผมรักเขามากเกินกว่าจะให้เขาจากไป...แน่นอนผมรักเขา.. 
แต่ยังไม่มีอะไรมากมายในเรื่องนั้น... 
เมื่อกลางวันผมนั่งคิด และไม่แน่ใจว่า จะตายเพราะโรคบ้าๆ นี่ หรือ จะตายเพราะเขาจากผมไป 
ทำไมผมถึงรักเขาได้มากขนาดนั้น...ผมไม่อยากรักเขาเลย...ไม่อยากๆ แต่ใจมันห้ามไม่ไหว.. 
ถ้าตายแล้วจบทุกอย่าง..สมองไม่ต้องคิดคงดี... 

ผมคงกลับไปอยู่บ้านไม่ได้ เพราะพ่อ-แม่ ผมไม่มีเงินมากพอที่จะสามารถดูแลผมได้หรอก 
ทุกๆ วันนี้ ผมเองต่างหากที่ต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายทุกอย่างของครอบครัว... 
ถ้าบ้านผมพอมีกินบ้าง..ผมคงหายห่วงมากกว่านี้.... 

ทำไม..วันนี้..อยากตาย 
อยากหายไป เป็นธาตุอากาศ 
หลุดล่วงลอยไป ไร้ความคิด 
หมดสิ้นหวัง..จะก้าวไปอย่าง 
ขอบคุณมากครับทุกคน หลังจากที่ผมทราบว่า 
ตัวเองมีผลเลือดอะไรแล้ว..ผมไปตรวจซ้ำกับโรงพยาบาลที่มีชื่อเสียงที่สุดในจังหวัด 
คุณหมอแจ้งว่า ผมมีเลือด positive HIV คราวนี้ผมช็อกอีกครั้ง เพราะตอนแรกยังพอมีหวัง 
ว่า อาจจะตรวจผิดได้น่า..คิดในทางที่ดียังงั้น...ขนาดผมมีอะไรแค่ภายนอก กับ Oral บางครั้ง 
แค่นั้น...ยังโดนจนได้...เพื่อนๆ ก็ต้อง safe ตัวเองด้วยน่ะครับ.... 
ผมตัดสินใจลงทะเบียนเรียนต่อ ปริญญาโท ให้จบ เพราะนั่นคือ ความฝันผมตั้งแต่แรก 
ผมจะไม่ยอมให้ไอ้ผลตรวจบ้าๆ มาทำลายชีวิตผมหรอก...ยังไงก็ตายกันหมดอยู่แล้ว 
ผมคิดแบบนี้..เพราะเมื่อวานผมเดินกลับบ้านพัก ผมได้ยินเสียงรถไซเรน วิ่งไปรับคนประสบ 
อุบัติเหตุ..ผมมาฉุกคิดว่า เอ่อเนอะ..ไอ้คนที่รถชนตาย มันก็ไม่ได้มีเลือดบวก มันยังตายก่อนเรา 
หรือ ข่าวหนังสือพิมพ์หน้าหนึ่ง ยิงกันบ้าง ฆ่ากันบ้าง คนเหล่านี้ยังตายเลย...มันยังตายกันเลย 
ตายทั้งที่ไม่มีโอกาสได้ทำอะไร...ผมบอกกับตัวเองว่า เอาล่ะ ต่อไปนี้อยากทำอะไรบ้างล่ะ 
บอกพี่สะใภ้ว่า ปีใหม่จะกลับไปทำบุญที่บ้าน ... ไปหาพ่อ-แม่ หลานสาวตัวเล็กน่ารัก...พี่ชาย.. 
ผมจะเป็นคนเลือดบวกที่มีกำไรกับชีวิตมากที่สุด.. 
ผมไปอ่านเจอบทความที่ดีมาก.. 
ซึ่งผมได้แนบเป็นไฟล์มาด้วยแล้ว... หลับไปแล้ว พรุ่งนี้ใครกล้ารับประกัน 
ว่า เราจะตื่นขึ้นมา ขับรถไปทำงาน ใครกล้ารับประกันว่า เราจะได้กลับมาเหมือนทุกๆ วัน... 
ถึงเราบอกว่า เอ้ย..ต้องตื่นนอนสิ ต้องกลับมาสิ ทว่า ใครกล้ารับประกัน... 
นี่เป็นเหตุผลหนึ่งที่ผม เลือกที่จะคบแฟนต่อไป....เพราะว่า ผมอาจจะตายด้วยอุบัติเหตุหรือ 
อย่างอื่นก่อนก็ได้...ฉะนั้น ผมขอเลือกที่จะบอกรักเขา เลือกที่จะทำทุกๆ อย่างให้เขา.. 
ก็เพราะ เราไม่รู้ ว่า เราจะมีโอกาสทำดีกับคนที่เรารักถึงเมื่อไหร่..ถ้าพรุ่งนี้ เกิดเขาตายไปล่ะ 
หรือ พรุ่งนี้ผมเดินไปกินข้าว รถชนตายล่ะ ผมจะมีโอกาสได้ทำดีกับเขาหรือ... 
ผมจึงเลือกที่จะทำดีกับเขาทุกๆ วัน เพราะเขาคือ คนที่ผมรักมากที่สุด..ผมไม่อยากมีคำว่า 
สายไปแล้ว...ผมอยากภูมิใจว่า ผมทำเต็มที่แล้วมากกว่า... 

ผมบอกตัวเองว่า ผมจะตั้งใจทำงานเพื่อเขา ดูแลเขา ดูแลสุขภาพตัวเอง.. 
รักเขาถนอมเขา...และทำหน้าที่ของลูกเลี้ยงดูพ่อแม่ให้เต็มที่... 
ถ้าทำดีที่สุดถึงว้นหนึ่งแล้ว.....จะต้องไปผมก็จะไปตามวาระและโอกาส 
แต่ก็ยังหวังลึกๆ ว่า ยาต้านที่มีประสิทธิภาพจะเกิดขึ้นในเร็ววัน 
ที่สำคัญ..ขออย่าให้แพงมากเล้ย.... 

ผ่านเรื่องต่างๆ มาเกือบอาทิตย์ 
ผมว่าผมเริ่มทำใจได้บ้างแล้ว...ส่วนหนึ่งต้องยกให้แฟนผม 
เพราะผมมีเขา ถึงได้รู้สึกมีความหมาย...ผมเชื่อแล้วที่บอกว่า "ใจ" สำคัญที่สุด. 

ขอโทษน่ะครับ ที่หายไปนาน ผมเหมือนทำใจยัง 
ไม่ได้ มันเจ็บปวด ไม่รู้จะเดินไปหาใครทางไหน เมื่อคิดว่า มีไอ้เจ้าเลือดบวกอยู่ในตัวเรา.... 
นี่ผ่านมาเกือบ 2 เดือนแล้ว...ตั้งแต่ที่ผมทราบผลเลือดครั้งแรกวันที่ 23 พฤศจิกายน 2550 
หายไปอยู่กับตัวเอง..ผมนอนแบบหลับๆ ตื่นๆ เหมือนคนพะวง สะดุ้งตื่นกลางดึกเสมอๆ 
คิดจนปวดหัว ไม่รู้จะทำอย่างไรดีแล้ว... 

ตอนนี้กับแฟน ผมพยายามเลิกกับเขาแล้ว เจ็บปวดมากครับ ทำใจยาก...เพราะรักมาก.. 
แต่เป็นทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับเรา 2 คน ... อยากร้องไห้ครับ รักเขามากเหลือเกินครับ 

แม่ผมอยู่ต่างจังหวัด... 
กำลังไม่สบายด้วยโรคเบาหวาน และ เนื้องอกในตับ 
ผมเพิ่งทราบเมื่อผมกลับบ้านช่วงปีใหม่นี่เอง ทุกคนพยายามปิดผม 
เพราะไม่อยากให้ผมไม่สบายใจ...พอผมรู้ และ เห็น สภาพที่แม่ผอมลง ซูบลง 
ผมอยากจะคุกเข่าร้องไห้ให้มันสาแก่ใจ กับโชคชะตา... 
ผมอยากแม่ ว่า เกิดอะไรขึ้นกับผม ... แต่ผมไม่อยากทำร้ายแม่อีก 
ได้แต่กลืนน้ำตาและเก็บความอึดอัดนี้ไว้ บอกใครก็ไม่ได้... 
ชะตาใดลิขิตหนอ..ไม่เพียงพอหรือไร ต้องซ้ำเติมให้ตายหรือไร จึงสาใจแก่พรหมลิขิต 

ผลตรวจร่างกายประจำปีของบริษัทออกมา 
ผมถูกหัวหน้าเรียกคุยเรื่อง เลือกบวก (ในใจบอก ไม่เอาไม่คุยไม่อยากฟังอะไรทั้งนั้นแล้ว) 
ได้แต่ตะโกนในใจว่า พอได้ไหม๊ พอได้แล้ว...จะทำร้ายอะไรผมอีกนักหนา.. 
หัวหน้าให้ผมพิจารณาตัวเอง เพราะว่า งานต้องติดต่อกับบุคคลอื่น 
ถ้ามีคนรู้ คงไม่เป็นผลดีกับหน่วยงาน...สรุปผมต้องออกจากงาน... 
เขาจะเข้าใจไหม๊น่ะ ว่า การออกจากงาน มันหมายถึงการตัดเส้นเลือดทุกอย่างในชีวิตผม 
ผมไม่มีงาน ไม่มีรายได้ ผมจะอยู่อย่างไร .... 

ปริญญาโท ที่คาดหวังไว้ เพราะเป็นความฝันของผมในการเอาปริญญาโทมาให้พ่อ-แม่ 
ตอนนี้..มันหมดแล้วหล่ะครับ ผมจะเอาเงินไหน ประคองตัวให้อยู่รอดในสภาวะเศรษฐกิจ 
แบบนี้ ผมจะเอาเงินไหนไปจ่ายค่าเทอม ค่ารถไป-กลับ ผมจะเอาเงินไปไหนไปรักษาแม่ 
ผมจะอย่างไร ทำไม หัวหน้าผม เขาถึงใจร้ายกับผมนักน่ะ...ประสิทธิภาพการทำงาน 
ของผมไม่ได้ด้อยลงสักหน่อย แค่รู้ว่า ผมมีเลือดบวก จะผลักไสผมไปไหน... 

ตอนนี้ ผมแย่ที่สุดในชีวิตแล้ว.. 
นี่ใช่ไหม๊ สูงสุด คืนสู่สามัญ 
จากคนที่เคยมีหน้าที่การงานดี รายได้ดี มีคนยอมรับนับถือ 
ตอนนี้กลับดูไม่มีค่าความหมายอะไรเลย... 

ยอมจำนนแล้วกับโชคชะตา หวังว่า คงพอใจ.


Credit: http://men.postjung.com/645438.html
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...