ดาบ ถือเป็นอาวุธประจำตัวของนักรบโบราณที่ใช้กันทั่วไปและทั่วโลก
จะผิดแผกแตกต่างกันก็เฉพาะรูปแบบ สำหรับ "ดาบไทย" อันใช้เป็น
ดาบเพชฌฆาตได้รับการสร้างขึ้นตามตำนานการสร้างด้วยการหาเหล็ก
ที่เป็นเหล็กเนื้อดีนำมาไล่ขี้ควายออก (ก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าไล่ขี้ควาย
ออกคืออะไร) แล้วหลอมกันเป็นก้อนเจือด้วยเหล็กจากบ่อพระแสง จัง
หวัดอุตรดิตถ์ ที่เรียกว่า "เหล็กน้ำพี้"
ปล. เนื้อหาข้างล่าง มีภาพที่ค่อนข้างหวาดเสียวนิดหน่อย หากท่านใด กลัวเลือดหรือภาพแหวะๆ
ขอให้ข้ามกระทู้นี้ไป (เตือนแล้วนะ) หากท่านใดคิดว่ารับได้ ก็เชิญรับชมต่อได้เลย
ดาบไทยโบราณ
เหล็กน้ำพี้ นั้นเป็นเหล็กที่มีส่วนผสมโลหะธาตุตามธรรมชาติที่มีคุณสมบัติควบคุมเนื้อเหล็กธรรมดาให้เกิดความคงทนแข็งแกร่งไม่กินตัวเองให้เป็นสนิม ทนทานต่อการฟันของหนาๆที่แข็งคมจนเกิดประกายอันเป็นการข่มขวัญศัตรูด้วยการสร้างดาบเพชฌฆาตต้องถือ “ ฤกษ์เพชฌฆาต ” เป็นสำคัญ ส่วนการตีดาบให้ได้รูปลักษณ์ที่ต้องการและคม ต้องใช้ยามยมขันธ์เป็นหลัก
แร่เหล็กน้ำพี้
ลักษณะดาบเพชฌฆาตแยกเป็น ดาบหนึ่ง ดาบสอง
ดาบหนึ่ง จะมีความสั้นกว่าดาบสอง รวมถึงด้ามดาบด้วย แต่ว่าใบดาบหนึ่งจะกว้างกว่าสันดาบ
จะหนาประมาณ 1 ซ.ม. ส่วนด้ามดาบประกอบด้วยเหล็กรัด ใช้เชือกด้ายดิบถักหุ้มด้วยลวดลาย
รัดกุมเพื่อให้สาก ถนัดในการกระชับ ทั้งลงรักและยางไม้เพื่อรักษาด้วยให้คงทนต่อการใช้งาน
สภาพดาบปลายจะหักลง แล้วงอนขึ้นคล้ายใบง้าวของจีนเพื่อให้เกิดน้ำหนักถ่วงทางโคนดาบให้
ได้ดุล
ดาบสอง ใบดาบจะยาวกว่าดาบหนึ่งประมาณ 8 ซ.ม.ใบดาบเรียวคล้ายดาบที่นักรบไทยโบ
ราณทั่วไปใช้ปลายดาบเฉียงต่ำรับกับความโค้งของใบดาบด้านล่างสันดาบบางประมาณ 0.7 ซ.ม.
ดาบเพชฌฆาตคู่นี้ได้รับการทิ้งไว้ยัง ห้องพิเศษในคุกหลวง ห้ามผู้ใดแตะต้อง ทุกวันเสาร์จะมี
การสังเวยด้วยเหล้าและไก่ต้มเป็นการบวงสรวง จนมีการเล่าขานกันว่า ดาบ 2 เล่มดังกล่าวจะ
สั่นได้เองเหมือนถูกคนคนจับเขย่า และหลังจากดาบทั้งคู่สั่นไม่เกิน 7 วันก็จะต้องมีพิธี
ประหารชีวิตนักโทษเกิดขึ้นทุกครั้งไป
ทั้งดาบหนึ่ง ดาบสองนี้ถูกใช้มาจนถึงรัชกาลที่ 6 จึงได้ยกเลิก แต่สำหรับชีวิตนักโทษที่สังเวยไป
จากดาบคู่นี้ประมาณไม่ต่ำกว่า 1,000 ศพ
สำหรับ “เพชฌฆาต” นั้นเป็นตำแหน่งที่โปรดเกล้าพระราชทานให้แก่ผู้มีดวงอันเหมาะสมโดย
จะมีบรรดาโหราจารย์นำดวงชะตาไปคำนวณอย่างละเอียดเพื่อประกอบในการคัดเลือก ทั้งนี้ด้วย
ถือกันว่า การประหารชีวิตคนอันเป็นสัตว์ประเสริฐนับเป็นกรรมหนักรุนแรง จึงต้องเฟ้นหาดวง
เพชฌฆาตที่มีดวงคุ้มตัวเองได้ มิฉะนั้นชีวิตจะสั้น !
พอเลือกเฟ้นได้คนที่มีดวงเหมาะสม ยังต้องเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญเพลงดาบอย่างดี ทั้งมีความรู้เกี่ยว
กับดาบ มีความแม่นยำในการลงดาบเพื่อขณะทำการประหารจะได้ไม่เป็นการทรมานนักโทษจน
เกินไป และผู้เป็นเพชฌฆาตจะต้องมีความรู้ทางด้านคาถาอาคมเป็นพิเศษด้วยเช่น คาถาสวดวิญ
ญาณผีตายโหง อาคมก่อนหยิบดาบเพชฌฆาตรวมทั้งสามารถแก้อาถรรพณ์หากผู้ถูกประหารมีวิ
ชาด้านคงกระพันชาตรี
ตัวเพชฌฆาตหรือมือประหารเองจะต้องอยู่ประจำ ณ เรือนจำตั้งแต่ได้รับคำสั่งให้เตรียมการ จาก
นั้นเมื่อได้เวลาเพชฌฆาตจะอันเชิญดาบออกจากที่ตั้งไปทำการบวงสรวงด้วยเครื่องเส้นเพื่อปลุก
ดาบให้เข้มขลัง เสร็จพิธีจึงค่อยเก็บดาบไว้ที่ตั้งเดิมเพื่อรอเวลาประหาร
ครั้นได้ฤกษ์เพชฌฆาตดาบหนึ่งและดาบสอง จะอันเชิญดาบออกจากที่ตั้งพร้อมแต่งกายด้วยผ้า
เตี่ยวสีแดงสดนุ่งหยักรั้งทะมัดทะแมงสวมเสื้อกั๊กสีแดงลงยันต์มหาอำนาจ มหาเดช มีบางรายคาด
หัวด้วยผ้าสีแดงลงยันต์ เมื่อออกจากเรือนจำไปกับขบวนนักโทษ เพชฌฆาตจะอยู่รั้งท้ายขบวน
เมื่อถึงลานประหารที่กำหนดไว้นักโทษจะถูกผูกตา ช่วงนี้เองที่เพชฌฆาตทั้งดาบหนึ่งและดาบ
สองจะเข้าไปขออโหสิกรรม
กรณีเป็นเชื้อพระวงศ์หรือกษัตริย์
ส่วนในกรณีที่นักนักโทษเป็นเชื้อพระวงศ์หรือกษัตริย์ ก็จะมีวิธีเฉพาะคือการทุบด้วยท่อนจันทน์ที่
ถือว่าเป็นไม้หอมเป็นการให้เกียรตินักโทษ โดยการประหารด้วยท่อนจันทน์นี้จะใช้วัดปทุมคงคา
เป็นลานประหาร
ส่วนวิธีการก็คือจะนำร่างของผู้ถูกประหารสวมด้วยถุงแดงแล้วรัดถุงให้แน่นเพื่อไม่ให้ใครแตะต้อง
พระวรกายและไม่ให้ใครเห็นพระศพด้วย จากนั้นเพชฌฆาตที่ได้รับนามเฉพาะว่า "หมื่นทะลวง
ฟัน" ก็จะใช้ไม้จันทน์ขนาดใหญ่รูปร่างคล้ายสากตำข้าวทุบลงไปสุดแรงบริเวณพระเศียรหรือพระ
นาภี เสร็จแล้วก็นำไปฝังในหลุม 7 วัน 7 คืนเพื่อให้มั่นใจว่าสิ้นพระชนม์แล้วจริง ๆ ก่อนขุดขึ้นมา
ประกอบพิธีต่อไปและหากใครสงสัยว่าทำไมไม่ใช้วิธีเปิดผ้าดูว่าสิ้นแล้วหรือไม่ ก็อย่างที่บอกไป
ว่าไม่ว่าจะอย่างไรหลังจากนำนักโทษใส่ถุงแดงแล้วก็ห้ามเปิดให้ใครเห็นหรือแตะต้องพระวรกาย
โดยตรงได้เป็นอันขาด
วิธีการประหารชีวิตด้วยท่อนจันทน์ เลิกล้มไปในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากมีการประกาศใช้กฎ
หมาย ร.ศ. 127 ว่าให้ประหารชีวิตเชื้อพระวงศ์ด้วยวิธีเดียวกันกับสามัญชน ไม่มีการแบ่งแยก
ชนชั้นนักโทษและในที่สุด ในปี 2477 ก็ได้ล้มเลิกการประหารชีวิตด้วยการตัดหัวไป เปลี่ยน
เป็นการใช้ปืนยิงแทนโดยวิธีการยิงปืนประหารนี้ ก็จะมีขั้นตอนคล้ายกับการประหารชีวิตด้วย
การตัดหัว ต่างที่การยิงปืนประหารจะทำในห้องประหารมิดชิด ไม่มีการเรียกประชาชนมามุงดู
เหมือนกับการประหารชีวิตด้วยการตัดหัวอีกต่อไป
การประหารชีวิตด้วยปืนทำกันมาได้ไม่นานนัก เพราะเมื่อปี 2545 ได้เปลี่ยนวิธีการประหารชี
วิตด้วยปืนมาเป็นการฉีดยาแทน ซึ่งการฉีดยาจะมี 3 ขั้นตอน คือ ขั้นแรกจะฉีดยาให้นักโทษ
สลบก่อนจากนั้นค่อยหยุดการทำงานของปอดและกระบังลม และสุดท้ายก็จะฉีดยาที่ทำให้หัว
ใจหยุดเต้นเป็นอันเสร็จพิธี เรียกว่าสบายกว่าวิธีไหน ๆ ไม่ต้องตื่นเต้นว่าจะถูกสับหัวหรือยิงปืน
เมื่อไหร่ และวิธีนี้ก็ยังเป็นวิธีที่ใช้กันมาจนถึงปัจจุบัน
ขั้นตอนและระเบียบปฏิบัติก่อนการประหารชีวิต
1. เมื่อลูกขุน ณ ศาลาลูกขุน ณ ศาลหลวง วางโทษประหารชีวิต ก็จะนำความขึ้นกราบบังคมทูล
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ประหารชีวิต
2. ก่อนจะนำตัวไปประหารชีวิต จะต้องถูกเฆี่ยน 3 ยกๆละ 30 ที รวม 90 ที
3. จัดอาหารคาวหวานมื้อสุดท้ายให้นักโทษกินก่อนประหาร และนิมนต์พระมาเทศน์ให้ฟัง
4. นักโทษประหารถูกจับนั่งมัดกับหลักไม้กางเขนแบบกาจับหลัก
5. เพชฌฆาตเอาดินเหนียวอุดหู อุดปาก และแปะไว้ที่ต้นคอนักโทษ (บ้างก็ใช้ปูนเคี้ยวหมาก)
เพื่อกำหนดตรงที่จะฟัน จากนั้นเพชฌฆาตดาบสองจะร่ายรำไปมา เพื่อรอจังหวะให้จิตนักโทษ
สงบ พร้อมกับเพชฌฆาตดาบหนึ่งลงดาบฟันคอทันที
6. เมื่อประหารแล้วเจ้าหน้าที่จะตัดส้นเท้า เพื่อถอดตรวนออกแล้วสับร่างกายหรือแล่เนื้อให้
ทานแก่แร้งกา
7. เอาหัวเสียบประจาน
เครื่องลงทัณฑ์เกี่ยวกับการประหารชีวิตด้วยดาบ
1. ดาบ
ดาบที่ใช้ในการประหารชีวิตนั้น มีรูปร่างต่างๆกันดาบเก่าครูเพชฌฆาตจะจัดทำขึ้น เช่นดาบ
ปลายแหลม ดาบปลายตัดดาบหัวปลาไหล ดาบมีฝักและสายสะพายพร้อม เท่าที่ปรากฎอยู่
ในพิพิธภัณฑ์ของกรมราชทัณฑ์ขณะนี้มีอยู่ 3 แบบคือ ดาบหัวปลาไหล ดาบปลายแหลม
ดาบหัวตัด
ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มใช้สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยกฎหมาย พระอัยการขบถศึก จุลศักราช
796 (พ.ศ. 1978) เลิกใช้สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ตรงกับแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า
เจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 โดยพระราชบัญญัติแก้ไขพิ่มเติมประมวลกฎหมายลักษณะอาญาฉบับที่ 6
พ.ศ. 2477
2. มีดตัดสายมงคล
ชาวบ้านเรียกว่า "มีดหมอ" มีไว้สำหรับตัดสายมงคลที่ล้อมลานพิธีประหารชีวิตเท่านั้นการตัดสาย
มงคลจะใช้มีดชนิดอื่นไม่ได้ ทั้งนี้เกี่ยวข้องกับพิธีทางไสยศาสตร์ ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มใช้
สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยกฎหมาย "พระอัยการขบถศึก" จุลศักราช 796 (พ.ศ. 1978) และเลิกใช้
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตรงกับแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 7 โดย
พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมาย ลักษณะอาญา ฉบับที่ 6 พ.ศ. 2477
3. มีดตัดส้นเท้า
ผู้ร้ายอุกฉกรรจ์มหันตโทษที่ถูกประหารชีวิตที่ข้อเท้าจะถูกตีตรวนขนาดใหญ่ (ไม่มีกุญแจสำหรับ
ไขออก) ให้ห่วงของตรวนรัดติดแน่นกับข้อเท้าจนไม่สามารถรูดออกทางส้นเท้าได้เมื่อถูกประหาร
ชีวิตแล้วจึงใช้มีดสับส้นเท้า เพื่อถอดตรวนข้อเท้าออกปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มใช้สมัยกรุงศรี
อยุธยา โดยกฎหมาย "พระอัยการขบถศึก" จุลศักราช 796 (พ.ศ. 1978) เลิกใช้สมัยกรุงรัตนโก
สินทร์ (รัชกาลที่ 5) ร.ศ.131 (พ.ศ. 2455) เนื่องจากมีตรวนข้อเท้าที่สามารถไขได้ด้วยกุญแจมา
ใช้แทน
4. คบเพลิงสำหรับส่องทาง
การนำนักโทษประหารออกจากคุกไปตัดหัวที่วัด มักนำนักโทษลงเรือพายไปตามลำคลองให้ทัน
เวลาย่ำรุ่งประมาณ 03.00 นาฬิกา ซึ่งยังมืดมากต้องใช้คบเพลิงส่องให้แสงสว่างขณะเดินทาง
5. หลักไม้กางเขน
หลักไม้กางเขน ใช้เป็นหลักประหารนักโทษที่ถูกประหารด้วยดาบเพชฌฆาต จะนำนักโทษประหารเข้าไปนั่งผูกติดกับหลักไม้กางเขนเรียกว่า "มัดแบบกาจับหลัก" วิธีปักหลักไม้กางเขนมัดนักโทษ ครูเพชฌฆาตต้องขุดหลุมเสกคาถาเรียกแม่ธรณี แล้วเอาไม้กางเขนปักลงกลบให้แน่น เขียนยันต์ลงที่ดินหน้าไม้กางเขนตรงก้น นักโทษที่จะนั่ง แล้วเอาใบตอง 3ยอด ปูให้นักโทษนั่งบนใบตอง เอาด้ายดิบที่เสกแล้วมัดแขนด้านหลังติดกับกลักกางเขน ทำพิธีเสกดินอุดหูสะกดให้นักโทษสงบจิต
ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มใช้ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา โดยกฎหมาย "พระอัยการขบถศึก" เลิกใช้สมัยรัชกาลที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ โดยพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ.2477 เปลี่ยนแปลงการลงโทษอาญาประหารชีวิตด้วยดาบเป็นยิงด้วยปืน
6. ขันทำน้ำมนต์
ขันทำน้ำมนต์ทำด้วยทองสัมฤทธิ์ เป็นภาชนะสำหรับเพชฌฆาตทำน้ำมนต์ก่อนและหลังพิธีตัดคอนักโทษ เพื่อใช้น้ำมนต์ในขันปัดรังควานและอาบหรือพรมตามร่างกาย เป็นการป้องกันวิญญาณร้ายเข้าสิงร่างกาย ปรากฎหลักฐานแน่ชัดว่าเริ่มใช้ สมัยกรุงศรีอยุธยาโดยกฎหมาย "พระอัยการขบถศึก"จุลศักราช 796 (พ.ศ.1978) เลิกใช้สมัยรัชกาลที่ 7 แห่งกรุงรัตนโกสินทร์ เมื่อมีพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายลักษณะอาญา พ.ศ. 2477 เปลี่ยนการลงโทษอาญาประหารชีวิตด้วยดาบเป็นยิงด้วยปืน
7. ธงแดง
ธงทำด้วยผ้าสีแดง ด้ามทำด้วยไม้ไผ่ยาวประมาณ 23 นิ้ว สำหรับปักในบริเวณลานประหารเพื่อให้รู้ว่าบริเวณนี้มีพิธีประหารชีวิต ห้ามฝูงชนมากีดขวางบริเวณที่มีธงแดง
8. ศาลเพียงตา
ศาลเพียงตานี้ มีลักษณะ 2 ชั้น ทำด้วยไม้เนื้อแข็งติดกันยกหรือเคลื่อนย้ายได้สะดวกแก่การนำไปใช้ในการประหารชีวิต ชั้นล่างสำหรับวางดาบประหาร ชั้นบนสำหรับวางถาดใส่อาหาร เครื่องเซ่นสังเวยเมื่อนำนักโทษไปถึงแดนประหารแล้ว เพชฌฆาตที่เป็นหัวหน้าเรียกว่า ครูเพชฌฆาต จะเป็นผู้ประกอบพิธีบวงสรวงสังเวยเทพยดาและภูตผีต่างๆ ตลอดจนผีตายโหงที่เคยฆ่า
เมื่อบริกรรมเสร็จแล้วจะเรียกเพชฌฆาตดาบหนึ่งดาบสองเข้าในวงพิธี โดยนั่งหน้าศาลเพียงตาแล้วร่วมพิธีบวงสรวงครูเพชฌฆาตจะนำเอาแป้งกระแจะเจิมหน้าเพชฌฆาตทั้งสองเมื่อบวงสรวงเสร็จแล้ว มอบดาบจากศาลเพียงตาส่งให้เพชฌฆาตทั้งสองทำหน้าที่ประหารชีวิตต่อไป
9. ไม้เสาหลักกลม
การประหารชีวิตในสมัยโบราณทำพิธีกันกลางทุ่งแจ้งและใช้เวลานาน ไม้เสาหลักกลมมีไว้สำหรับขึงผ้ากันแดดและกันฝูงชนมิให้รุกล้ำเข้ามาในระหว่างทำพิธีสังเวยหรือบวงสรวง
10. ถาดทองเหลือง
ก่อนการประหารชีวิตเพชฌฆาตต้องทำพิธีไหว้ครูและสักการะสิ่งเคารพบูชาตามที่ตนเลื่อมใสเพื่อให้มีจิตใจมั่นคง เพราะการฆ่าคนก็เกรงกลัวว่าผีจะเข้าสิง ภาชนะที่ใช้ในพิธีบวงสรวง ประกอบด้วย ถาดทองเหลืองมีเชิงและลวดลาย ถ้วยชามกระเบื้องลักษณะมีลายสีน้ำเงิน เหมือนชามสังคโลก สำหรับใส่ของหวานและน้ำจิ้ม เพื่อเซ่นสังเวยเทพยดาฟ้าดิน เครื่องสังเวยประกอบด้วยหัวหมูซ้ายขวา เป็ดหนึ่งไก่หนึ่ง ปลาแปะซะหนึ่ง พร้อมน้ำจิ้ม บายศรีกล้วยน้ำไทย 1 หวี มะพร้าวอ่อน 1 ลูก ขนมต้มแดง ขนมต้มขาว สิ่งละถ้วย ขนมธรรมดาอีก 4 ถ้วยเหล้าโรง 2 ขวด ดอกไม้พร้อมด้วยธูป 1 ซอง เทียน 9 เล่ม
11. ถ้วยเคลือบดินเผา
ถ้วยเคลือบดินเผาอีกหนึ่งชุด ลักษณะเป็นถ้วยเคลือบ ดินเผามี 5 ใบ สำหรับใส่อาหารคาวหวานให้นักโทษประหารกินเป็นมื้อสุดท้ายก่อนถูกตัดหัว ทั้งเครื่องเซ่นสังเวยบวงสรวงและอาหารผู้ต้องโทษ มีฝาชีครอบไว้เรียบร้อย
12.ฝาชีครอบถาด
ใช้สำหรับครอบถาดทองเหลืองที่มีเครื่องเซ่นสังเวยบวงสรวง และสำหรับอาคารคาว หวานให้นักโทษประหารกินเป็นมื้อสุดท้ายก่อนตัดหัว เพื่อกันไม่ให้ตัวแมลงหรือสิ่งสกปรก ตอมอาหาร
ทั้งหมดนี้คือวิวัฒนาการของการประหารชีวิตในสยาม ที่ดูเหมือนจะลดความทรมานลงทุกๆวัน ขณะเดียวกันที่สถิติการประหารชีวิตก็ค่อยๆลดลงเรื่อยๆทั้งในประเทศไทยและหลายประเทศทั่วโลก ซึ่งที่เป็นอย่างนั้นก็ไม่ใช่เพราะว่าคนเรามีคุณธรรมกันมากขึ้นแต่อย่างใด แต่เป็นเพราะบทลงโทษในสังคมทุกวันนี้มันเบาลงเรื่อยๆต่างหาก...
ยิ่งไปกว่านั้นในยุคที่บทลงโทษในสังคมเบาลงทุกวัน ขณะที่โจรผู้ร้ายมีมากขึ้นแบบนี้ก็ยังมีคนในหลายประเทศออกโรงต่อต้านการประหารชีวิตกันอย่างมาก เพราะเห็นว่ามันโหดร้ายก็ไม่แน่ว่า...บางทีโทษประหารอาจถูกล้มเลิกในอีกไม่เกิน 10 ปีข้างหน้าก็เป็นได้...
ที่มา : ghostwiki.blogspot, gun