เมื่อเวลา 09.00 น. วันที่ 15 มิ.ย. ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายความของนายเอกยุทธ อัญชันบุตร นักธุรกิจการเงินและอสังหาริมทรัพย์ชื่อดังนายนิติธร ล้ำเหลือ พร้อมทีมทนายความรวม 5 คน เดินทางเข้าพบพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. พล.ต.ต.อนุชัย เล็กบำรุง รองผบช.น. พล.ต.ต.นัยวัฒน์ ผะเดิมชิต ผบก.น.4 และพ.ต.อ.สรรค์หกิจ บำรุงสุขสวัสติ ผกก.สน.วังทองหลาง หลังมีการนัดพบเพื่อสอบถามเกี่ยวกับคดีที่จับกุมคนร้ายอุ้มฆ่านายเอกยุทธ ทีมทนายไม่ปักใจเชื่อว่า เจ้าพ่อนักธุรกิจชื่อดังถูกแก๊งดังกล่าวอุ้มเพื่อต้องการฆ่าชิงทรัพย์ และคดีน่าจะมีเบื้องหน้าเบื้องหลัง โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจสน.วังทองหลาง ได้ควบคุมตัวนายสุทธิพงศ์ หรือ เบิ้ม พิมพิสาร หนึ่งในทีมอุ้มฆ่านายเอกยุทธ มาที่ห้องทำงานผบช.น.เพื่อเปิดโอกาสให้ทีมทนายความซักถามนายสุทธิพงศ์ โดยไม่มีญาติของนายเอกยุทธ เข้าร่วมรับฟังแต่อย่างใด โดยใช้เวลานานถึง 2 ชั่วโมง
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนการแถลงข่าว พล.ต.ต.อนุชัย ได้นำตัวนายสุทธิพงศ์ ซึ่งมีสีหน้าเรียบเฉยไม่มีอาการอิดโรย หรือมีทีท่าสะทกสะท้านเมื่อพบกันแบบประจันหน้ากับทีมทนายความของนายเอกยุทธ ไปทำแผนประกอบคำรับสารภาพที่ทีมทนายความตั้งข้อสงสัยเกี่ยวกับเหตุการณ์บนรถตู้โฟล์ค โดยจำลองเหตุการณ์ขณะที่นายสุทธิพงศ์หลบซ่อนตัวอยู่ภายในรถ โดยมีนายสุวัตร และทีมทนายความคอยร่วมสังเกตการณ์อย่างใกล้ชิด
จุดแรกเป็นจุดที่นายสุทธิพงศ์ ขึ้นมาอยู่บนรถตู้ โดยหลบมุดซุกซ่อนตัวอยู่ที่บริเวณเบาะหน้า ด้านข้างคนขับ และแอบอย่างมิดชิดเพื่อไม่ให้นายเอกยุทธมองเห็น จากนั้นนายเอกยุทธก็ได้ขึ้นมาบนรถตู้ โดยนั่งอยู่ที่บริเวณเบาะนั่งผู้โดยสารแถวแรกฝั่งซ้ายมือ ต่อมานายสันติภาพ ได้เปิดกระจกตรงกลางรถที่คั่นระหว่างห้องผู้โดยสารและห้องคนขับ ใช้อาวุธปืนข่มขู่นายเอกยุทธให้นอนคว่ำหมอบลงไปกับเบาะ ก่อนที่นายสุทธิพงศ์จะลุกจากที่ซ่อนตัว ปีนข้ามช่องกระจกไปยังห้องผู้โดยสาร เพื่อจับกุมตัวนายเอกยุทธ โดยนายสันติภาพเป็นคนที่จับนายเอกยุทธใส่กุญแจมือ
เมื่อทีมทนายความของนายเอกยุทธ ซักถามว่า แหวนของนายเอกยุทธ ตกหล่นอยู่ตรงบริเวณใด พล.ต.ต.อนุชัย ได้ชี้แจงว่า มีพยานพบเห็นแหวนของนายเอกยุทธ ตกอยู่ที่บริเวณช่องบันไดทางขึ้นรถ ของประตูรถฝั่งซ้าย ก่อนจะนำมาใส่ที่บริเวณคอลโซลรถด้านหน้า
ทีมทนายความของนายเอกยุทธ ยังได้ถามอีกว่า ระหว่างที่นายเอกยุทธอยู่บนรถ นายสุทธิพงศ์ซ่อนตัวอย่างไร พร้อมกับส่งนายนิติธรเป็นตัวแทนขึ้นไปนั่งจำลองเป็นนายเอกยุทธอยู่บนเบาะ โดยให้นายสุทธิพงศ์หลบอยู่ใต้เบาะด้านหน้า ซึ่งทีมทนายความตั้งข้อสังเกตว่านายเอกยุทธน่าจะมองเห็นหรือสังเกตได้ แต่นายสุทธิพงศ์กล่าวว่า ช่วงที่กำลังปีนข้ามไปนั้น นายสันติภาพได้ใช้ปืนขู่นายเอกยุทธให้หมอบคว่ำไปกับเบาะแล้ว
จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ควบคุมตัวนายสุทธิพงศ์ ไปฝากขังต่อศาลอาญารัชดาทันที เนื่องจากวันหยุดราชการศาลเปิดทำการเพียงครึ่งวันเท่านั้น โดยใช้เวลาในการทำแผนประกอบคำรับสารภาพประมาณแค่ 5 นาที เท่านั้น
นายสุวัตร กล่าวว่า ต้องขอบคุณพล.ต.ท.คำรณวิทย์ และทีมสืบสวนทุกคน ที่ร่วมกันทำคดีอย่างเต็มที่ การพบศพของนายเอกยุทธถือเป็นหัวใจสำคัญของคดีนี้ แต่เมื่อพบศพแล้ว หน้าที่ต่อไปของพนักงานสอบสวนก็คือ จะต้องหาเหตุผลประกอบ เนื่องจากคำให้การรับสารภาพของผู้ต้องหา เมื่อไปถึงศาลอาจจะทำให้ศาลยกฟ้อง เพราะคำรับสารภาพนั้นปราศจากเหตุผล อีกทั้งหลังจากที่นายสันติภาพถูกจับกุมตัวได้ก็ให้ปากคำโกหกพนักงานสอบสวนและทนายความมาตลอด ทางพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ก็ให้ทนายความเข้าไปรับฟังการสอบสวนด้วยตลอด เพื่อแสดงความบริสุทธิ์ใจ การเข้าไปร่วมสอบปากคำด้วยจึงเป็นที่มาของการพบศพของนายเอกยุทธ
หลังจากนี้จะส่งรายละเอียดเกี่ยวกับประเด็นข้อสงสัยต่างๆ ให้กับหัวหน้าพนักงานสอบสวน ยังไม่เปิดเผยกับสื่อมวลชน จะรอให้เกิดความชัดเจนก่อน ทรัพย์สินต่างๆอยู่ที่ไหน หากประสงค์ต่อทรัพย์ เหตุใดจึงนำไปโยนทิ้ง คำให้การของนายสันติภาพที่ให้การไว้ ไม่มีเหตุผล
นายสุวัตร กล่าวอีกว่า หากพนักงานสอบสวนได้รายละเอียดจากตน จะรู้ว่ามีผู้ร่วมขบวนการที่ก่อเหตุในกรุงเทพฯจำนวนกี่คน มีเพียงแค่นายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์เท่านั้นจริงหรือไม่ ก่อนหน้านี้นายสันติภาพให้การว่าใช้อาวุธปืนยิงนายเอกยุทธ ต่อมาก็กลับคำให้การว่าบีบคอ จึงต้องดูสภาพศพ ซึ่งผลการชันสูตรได้ระบุออกมาชัดเจนแล้วว่า ถูกบีบคอ ขาดอากาศหายใจ ตาถลน ลิ้นจุกปาก ส่วนประเด็นอื่นจะทำการพยานหลักฐานต่อไป
ด้านนายนิติธร กล่าวว่า สำหรับประเด็นข้อสงสัยต่างๆในวันนี้ได้มีการซักถามและให้คำตอบ ซึ่งผู้ต้องหาทั้งสองคนให้ปากคำไปในทิศทางเดียวกัน แต่มีบางจุดยังให้การขัดแย้งกันอยู่ ขณะนี้เหลือเพียงไม่กี่ประเด็น คาดว่าเร็วๆนี้จะสรุปร่วมกันได้อีกครั้งหนึ่ง
เมื่อผู้สื่อข่าวถามว่า ยังมองว่าปมการสังหารนายเอกยุทธเป็นเรื่องการเมืองใช่หรือไม่ นายนิติธร กล่าวว่า ไม่ตัดทุกประเด็น ยังตั้งประเด็นหลักไปที่การก่อเหตุอุ้มนายเอกยุทธครั้งนี้มีเพียงแค่ 2 คน คือนายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์หรือไม่ กำลังรวบรวมพยานหลักฐานเพิ่มเติม
เมื่อถามว่าญาติของนายเอกยุทธยังสงสัยในประเด็นใดหรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ทางญาติของนายเอกยุทธไม่อยากสู้คดี เนื่องจากยังอยู่ในสภาพหวาดกลัวและเมื่อพบศพของนายเอกยุทธแล้ว ก็มุ่งไปที่เรื่องการทำบุญสร้างกุศล ส่วนคดีความใครถามอะไรก็ไม่มีความเห็น อยากให้เรื่องจบไป แต่ก็ยังไม่เป็นเอกภาพ พี่สาวกับน้องสาวมองว่ายังไม่ควรจะยุติ ส่วนพี่ชายกับลูกชายก็มีความเห็นอีกอย่าง ดังนั้นจึงให้ทางญาติๆของนายเอกยุทธตกลงกันให้เรียบร้อยก่อน ทนายมีหน้าที่ทำตามที่ได้รับมอบหมายจากลูกความ ถ้าหากต้องการให้หยุดดำเนินการก็ต้องหยุด แต่ทีมทนายเชื่อนความบริสุทธิ์ของพนักงานสอบสวนชุดนี้ว่าจะไม่มีการบิดเบือนหรือรีบปิดคดี เพราะมีส่วนร่วมในการสอบสวนมาตลอดและได้รับความร่วมมือจากตำรวจอย่างดี
เมื่อถามว่าทีมทนายความยังยืนยันเรื่องที่คิดว่ามีเสธ. คนดังเข้ามาเกี่ยวข้องอยู่หรือไม่ นายสุวัตร กล่าวว่า ประเด็นดังกล่าวได้บอกกับพนักงานสอบสวนไปแล้ว แต่ไม่สามารถเปิดเผยได้ เพราะอาจจะถูกฟ้องหมิ่นประมาทได้ ต้องรอให้มีพยานหลักฐานชัดเจน ตนคิดว่าไม่น่าจะเกินความสามารถของพนักงานสอบสวนแน่นอน
เมื่อถามว่าเชื่อในคำให้การของนายสันติภาพและนายสุทธิพงศ์หรือไม่ว่าลงมือกันเพียงแค่สองคน นายสุวัตร กล่าวว่า ไม่เชื่อ โดยเฉพาะนายสันติภาพโกหกมาตลอด เมื่อถึงคราวจำเป็นก็ยอมรับ จากนั้นก็โกหกเรื่องใหม่อีก เช่นประเด็นที่ให้การว่าเอาสร้อยไปโยนทิ้งน้ำ ทั้งๆที่ลงมือก่อเหตุคดีสำคัญมีโทษถึงประหารชีวิต แต่กลับเอาสร้อยไปโยนทิ้ง สิ่งเหล่านี้ไม่มีสาเหตุที่ทำให้เชื่อได้
เมื่อถามถึงกรณีที่นายสนธิ ลิ้มทองกุล ออกมาให้สัมภาษณ์ว่าอยากให้มีการเปลี่ยนตัวผบช.น. เพื่อความโปร่งใส่ เพราะมีคดีที่ฟ้องร้องกับนครบาลอยู่ นายสุวัตร กล่าวว่า หลังจากที่ญาติแจ้งความที่สน.วังทองหลาง ซึ่งขึ้นตรงกับบช.น. ตนและญาติอีกส่วนหนึ่งก็ไปแจ้งความที่กองบังคับการปราบปราม ทั้งสองที่ก็นำข้อมูลมาบูรณาการร่วมกัน ส่วนการที่นายสนธิมีความเห็นดังกล่าวออกมาก็เป็นเรื่องของเขา ตนจะทำคดีนี้ตามความเห็นของญาตินายเอกยุทธ ไม่ใช่ความเห็นของนายสนธิ เพราะหากญาติของนายเอกยุทธยังคลางแคลงใจสงสัยในเรื่องดัง ตนก็ต้องดำเนินการ
นายสุวัตร กล่าวด้วยว่า ในส่วนคดีที่นายเอกยุทธฟ้องผบช.น. และตำรวจนายอื่นๆ ที่เป็นพนักงานสอบสวนอีก 5 นายนั้น ขณะนี้ญาติของนายเอกยุทธสั่งการให้ถอนฟ้อง ซึ่งตนจะไปถอนฟ้องในฐานะโจทย์ที่สอง ส่วนกรณีนายเอกยุทธที่ชัดเจนแล้วว่าเสียชีวิต ดังนั้นอำนาจทนายความก็ต้องหมดลงด้วย ต้องรอการมอบมรดกความ และเมื่อมีผู้ใดรับมอบมรดกความแล้วก็จะยื่นถอนฟ้องต่อไป นอกจากนี้ ในคดีที่นายเอกยุทธถูกฟ้องว่าร่วมกันก่อเหตุทะเลาะวิวาทที่ร้านคาราโอเกะซีตี้ เมื่อปลายปี 2555 คดีก็จะระงับในส่วนของนายเอกยุทธ ส่วนผู้ที่ถูกฟ้องรายอื่นๆ ก็ต้องว่ากันไปตามรูปคดี
ขณะที่พล.ต.ต.อนุชัย ในฐานะหัวหน้าพนักงานสอบสวนคดีดังกล่าว เปิดเผยถึงกรณีที่นายเอกยุทธ มีฟ้องร้องหมิ่นประมาท อยู่กับพล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ผบช.น. ว่า คงต้องแยกส่วนกัน เราเป็นตำรวจอาชีพ เรื่องที่มีการฟ้องร้องก็ต่อสู้ไปตามกระบวนการยุติธรรม และเชื่อมั่นในการทำงานของตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่โดยไม่มีการโกรธเคืองอะไรกันกับนายเอกยุทธ อีกทั้งความผิดที่นายเอกยุทธฟ้องร้องผบช.น. ก็เป็นคดีความหมิ่นประมาท ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย ยืนยันว่าตำรวจยึดหลักกฎหมายในการทำงานอย่างเคร่งครัด แต่แน่นอนว่าไม่สามารถทำให้ทุกคนเลิกสงสัยในประเด็นนี้ได้
“เราเป็นพนักงานสอบสวน เราเป็นตำรวจต้องยึดหลักกฎหมายโดยเคร่งครัด พนักงานสอบสวนไม่สามารถที่จะทำให้ทุกคนพอใจได้ เมื่อเคลือบแคลงสงสัยก็ต้องใช้กระบวนการทางกฎหมายตรวจสอบ เชื่อมั่นว่าพล.ต.ท.คำรณวิทย์ พร้อมต่อสู้คดีในเรื่องนั้น เรื่องนี้ก็ให้ความจริงจังในการทำงานทุกอย่างโปร่งใส่ และพร้อมที่จะตอบสังคมได้ทุกเรื่อง ต้องของคุณนายสุวัตร และทีมทนายความที่เข้ามาให้ข้อมูลและเบาะแสต่างๆ ซึ่งจะนำหลักฐานทั้งหมดมาประกอบการสอบสวนดำเนินคดี เพื่อทำให้คดีดังกล่าวดำเนินการอย่างละเอียดรอบครอบที่จะตอบข้อสงสัยในทุกประเด็น นอกจากนี้ หากใครมีข้อมูลเกี่ยวกับคดีและน่าจะเป็นประโยชน์ ก็สามารถแจ้งเข้ามาได้ หรือเข้ามาพูดคุยกันแลกเปลี่ยนความเห็นและข้อมูล แต่หากไม่สะดวกจะมาทางตำรวจก็ยินดีจะเข้าไปพูดคุยด้วย” รองผบช.น. กล่าว
เมื่อถามว่า สำหรับแม่ของนายสันติภาพ ตำรวจมีหลักฐานมากน้อยแค่ไหนที่จะยืนยันว่าไม่มีส่วนรู้เห็น เนื่องจากมีการเรียกให้มารับเงินที่ลาดกระบังขณะที่นายเอกยุทธยังไม่เสียชีวิต พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า จะดำเนินคดีในข้อหาร่วมกันรับของโจรไว้ก่อน ในส่วนการสอบสวนหากมีการขยายผลหรือมีหลักฐานเชื่อมโยงว่ามีความผิดอีก ก็จะดำเนินการเพิ่มเติมต่อไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่ผู้ต้องหาซัดทอดกันไปมาว่าไม่ได้เป็นคนฆ่านายเอกยุทธ จะมีผลต่อรูปคดีหรือไม่ พล.ต.ต.อนุชัย กล่าวว่า ผู้ต้องหามีสิทธิที่จะให้การอย่างไรก็ได้ แต่พนักงานสอบสวนมีหน้าที่ที่ต้องค้นหาความจริง แต่ขณะนี้ที่ดำเนินคดีคือร่วมกันฆ่า ใครทำมากหรือทำน้อยก็ถือว่าทำร่วมกัน ส่วนที่ว่าใครจะเป็นคนลงมือบีบคอนายเอกยุทธ หลักฐานทางนิติเวชก็จะระบุเองว่าเป็นฝีมือใคร ซึ่งขณะนี้ก็มีความชัดเจนในระดับหนึ่งแล้ว
มีรายงานว่า สำหรับข้อมูลฮาร์ดดิสค์ภาพจากกล้องวงจรปิดภายในตัวบ้านนั้น นายสันติภาพน่าจะเป็นผู้ถอดออกไป แล้วนำไปทำลายด้วยวิธีการทุบแยกชิ้นส่วน แล้วโยนออกไปนอกตัวรถบริเวณจ.สุราษฎร์ธานี และระหว่างทางที่จะมุ่งมายังจุดที่ฝังศพของนายเอกยุทธ
ขณะที่ พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.ฐิติราษฎร์ หนองหาญพิทักษ์ รอง ผบช.น. , พล.ต.ต.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รองผบช.น. และ พล.ต.ต.รณพงษ์ ทรายแก้ว ผบก.ภ.นครศรีธรรมราช นำชุดประดาน้ำของ บก.รน.เดินทางมางมหาหลักฐานของนายเอกยุทธ ที่นายสันติภาพ เพ็งด้วง อ้างว่านำทรัพย์สินของนายเอกยุทธ ส่วนหนึ่งมาทิ้งที่ปากน้ำคลองชะอวดแพรกเมือง ม.9 ต.หน้าสตน อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราช เมื่อวันที่ 9 มิ.ย. ที่ผ่านมา
ล่าสุด วันที่ 15 มิ.ย. ผู้สื่อข่าว ข่าวสด รายงานว่า เป็นวันที่ 2 ที่เจ้าหน้าที่ได้งมหาของกลางดังกล่าว โดยได้สับเปลี่ยนเจ้าหน้าที่นักประดาน้ำเดินทางมาจากจังหวัดภูเก็ตมาสนับสนุนในการค้นหา แต่จนถึงช่วงบ่ายวันนี้ ก็ยังไม่พบของกลางตามที่นายสันติภาพกล่าวอ้างแต่อย่างใด
ขณะที่ พล.ต.ต.ปริญญา ระบุว่า ยังให้นักประดาน้ำลงทำการงมหาของกลางดังกล่าวไปเรื่อยๆ ซึ่งช่วงเย็นของวันนี้ หากยังไม่พบของกลางก็จะยกเลิกภารกิจ