โคเคดามะ…ศิลปะมีชีวิต
เมื่อ แทบทุกๆ วัฒนธรรมในโลกต่างกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรีบร้อน จนทำให้แนวคิด อุดมคติ รวมถึงคุณค่าต่างๆ ทางวัฒนธรรมค่อยๆ เลื่อนหายหรือแม้แต่ถูกหลงลืม แต่ขณะเดียวกันการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นก็อาจสร้างความน่าสนใจและโอกาสใหม่ ที่จะได้มองเห็นการเปลี่ยนผ่านของคุณค่า รูปแบบ และวิธีการ ที่ถูกปรับไปตามกาลเวลา เช่นเดียวกับศิลปะการรังสรรค์ “โคเคดามะ [Kokedama]” ที่ไม่เคยหยุดอยู่กับที่
คำว่า “โคเคดามะ” นั้น หมายถึงมอสส์สีเขียวที่ปกคลุมอยู่บนก้อนดิน มีประวัติความเป็นมาย้อนไปได้ถึงยุคเอโดะ (ปี 1603-1868) ซึ่งเป็นยุคที่นิยมปลูกบอนไซแบบ “เนอาไร (Nearal)” ที่เริ่มปลูกในกระถางก่อนจะนำออกมาและปล่อยให้เติบโตภายนอก ทั้งนี้ก่อนที่จะนำบอนไซและดินออกจากกระถาง ศิลปินผู้รังสรรค์จะต้องมั่นใจว่าบอนไซต้นนั้นๆ เติบโตและหยั่งรากลงดินแน่นแล้ว เพื่อว่าเมื่อนำออกมา รากที่อยู่ในดินจะยังคงรักษารูปฟอร์มของตัวเองและเติบโตได้ต่อไป
หลัง ความนิยมเลี้ยงเนอาไรเริ่มอิ่มตัว ก็ได้มีการพัฒนาและปรับเปลี่ยนรูปแบบการเลี้ยงบอนไซมากขึ้น โดยมีการนำต้นมอสส์มาปลูกยึดเกาะรอบๆ ก้อนดินที่ใช้ปลูก กระทั่งมีการนำเอามอสส์มาพันจนรอบก้อนดินและบัญญัติศัพท์ไว้ใช้เรียกเนอาไร ที่มีมอสส์สีเขียวปกคลุมทั่วแล้วว่า “โคเคดามะ” ลักษณะเด่นของโคเคดามะอยู่ที่การเตรียมดินให้เป็นก้อนกลมคล้ายลูกบอล ด้วยการผสมดินพีทร้อยละ 70 กับดินอาคาดามะที่มีลักษณะเหมือนดินเหนียวร้อยละ 30 เพื่อให้ดินจับตัวกันได้ดี ส่วนไม้ที่ใช้ปลูกอาจเป็นไม้กลุ่มบอนไซหรือไม้ประดับประเภทอื่น และเมื่อนำต้นไม้ลงในดินเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายก็คือการนำต้นมอสส์สีเขียวที่รดน้ำจนชุ่มมาพันให้สนิท ใช้ด้ายพันทับให้แน่นอีกครั้ง รดน้ำให้ทั่ว ก่อนนำไปประดับตกแต่งได้ตามต้องการ
ปัจจุบัน โคเคดามะกำลังได้รับความนิยมอย่างสูงในแวดวงคนรักบอนไซทั่วโลก ทั้งในญี่ปุ่นเอง เนเธอร์แลนด์ ไปจนถึงสหรัฐฯ และอังกฤษ โดยมักได้รับการกล่าวขานในแง่ความคิดสร้างสรรค์ในการปรับเปลี่ยนบอนไซใน กระถางให้เป็นประติมากรรมจากธรรมชาติที่สวยงามและน่าทึ่งผ่านกรรมวิธีและ กระบวนการใหม่ๆ เช่น ผลงานของชาร์ลอตต์ แคเธอรีน (Charlotte Catherine) ที่นะศาสตร์แห่งการวางจัดวางแท่นบูชามาใช้โคเคดามะจนเป็นผลงานแปลกตาและให้ ความรู้สึกที่หรูหรารวมถึงการเลือกพันธุ์ไม้ที่น่าสนใจอย่างดอกไซคลาเมน กล้วยไม้ และดอกหน้าวัวมาผสมผสานกับศิลปะการปลูกโคเคดามะได้อย่างลงตัวจนกลายเป็น กระแสความนิยมในการนำบอนไซออกจากกระถางเพื่อรังสรรค์ความงามจากธรรมชาติใน รูปแบบที่แตกต่าง แต่ยังคงรักษาคุณค่าในฐานะศูนย์กลางแห่งความสงบและพลังจากธรรมชาติไว้ อันเปรียบเสมือนการรังสรรค์ศิลปะที่มีชีวิตอย่างแท้จริง