พราหมณ์คนหนึ่งมีธิดาสาวสวยมาก ทำให้กษัตริย์เมืองน้อย เมืองใหญ่ ตลอดจนถึงมหาเศรษฐีต่างพากันมาสู่ขอธิดาสาว แต่พราหมณ์พ่อแม่ไม่ตกปากรับคำใครสักคน เนื่องจากมองไม่เห็นใครที่เหมาะสมและคู่ควรกับธิดาของตน จนกระทั่ง...
วันหนึ่งท่านพราหมณ์ได้พบพระพุทธเจ้าที่ชายป่า เพียงแรกพบ พราหมณ์ก็ตะลึงลานในพระมหาปุริส ลักษณะสง่างามของพระศาสดา พราหมณ์จึงไม่รอช้าได้นิมนต์ให้พระพุทธองค์รอสักประเดี๋ยว แล้วรีบกลับบ้าน...เพื่อไปชวนภรรยาและธิดามาเฝ้าพระพุทธองค์ แต่เมื่อพราหมณ์กลับมา กลับพบแค่รอยพระพุทธบาทที่ทรงประทับไว้ให้ดูต่างหน้าเท่านั้น..
นางพราหมณีเห็นรอยพระบาทของพระพุทธองค์ก็บังเกิดความสว่างโพลงว่า พราหมณ์ผู้สามีคิดผิดเสียแล้วที่คิดยกธิดาให้กับชายคนนี้ เพราะดูจากรอยเท้าแล้วไม่ใช่รอยเท้าของคนสามัญ หากแต่เป็นรอยเท้าของคนปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง พราหมณ์ไม่ยอมฟังภรรยา กลับออกตามหาพระพุทธองค์จนพบแล้วออกปากยกธิดาของตนให้เป็นบริจาริกาของพระพุทธองค์ทันที
พระพุทธองค์ตรัสว่า..
พราหมณ์เอย เราเคยพบอิสตรีที่งามกว่าธิดาของท่านมาแล้วมากมาย ไม่ว่าเป็นนางตัณหา นางราคา นางอรดี แต่เราก็ไม่เคยต้องใจผู้ใดมาก่อนเลยสักคน แล้วจะป่วยกล่าวไปไยถึงธิดาสาวของท่านคนนี้ซึ่งมีสรีระอันเต็มไปด้วยของโสโครกอย่างอุจจาระและปัสสาวะ เราขอบอกว่าเราไม่ปรารถนาสัมผัสธิดาของท่านแม้แต่ปลายเท้า..
ฝ่ายธิดาสาวเมื่อได้ยินดังนั้น สติขาดผึง ผูกอาฆาตในใจว่า สมณะท่านนี้ไม่รักไม่ว่า แล้วทำไมมาดูถูกกันให้เจ็บช้ำน้ำใจถึงเพียงนี้ เอาเถิดไว้มีโอกาสเมื่อไหร่จะแก้แค้นให้สาสมทีเดียว..
ในขณะที่ธิดาสาวกำลังโกรธอยู่นั้น สองพราหมณ์สามีภรรยากลับได้ดวงตาเห็นธรรม มองเห็นโทษของความสวยงามว่าไม่มีแก่นสาร ปล่อยวางความยึดมั่น ถือมั่นในสังขารได้อย่างง่ายดาย จึงยกธิดาให้ลุงดูแล แล้วออกบวช หลังจากนั้นไม่นานจึงบรรลุพระอรหัตผลในเวลาไม่นาน..
ฝ่ายธิดาของพราหมณ์ได้เป็นพระมเหสีของพระเจ้าอุเทน แห่งกรุงโกสัมพี วันหนึ่งพระพุทธองค์ได้เสด็จจาริกมาเมืองนี้ นางรู้ข่าวจึงให้มหาดเล็กไปว่าจ้างชาวบ้านจำนวนห้าร้อยคนตามไปบริภาษ พระพุทธเจ้าไปทุกฝีก้าวตลอดเวลาที่ประทับ ณ.เมืองโกสัมพี..
พวกรับจ้างด่า ทำงานสมกับค่าจ้าง ตามด่า ตามบริภาษพระบรมศาสดาไปทุกหนทุกแห่ง แต่ไม่ว่าจะด่าอย่างไรพระองค์หาทรงสะทกสะท้านไม่ ซึ่งไม่ว่าพยายามอย่างไรก็เหนื่อยเปล่า เพราะนอกจากจะไม่มีผลสะท้อนกลับมาจากพระบรมศาสดาแล้ว นานวันเข้าคนที่ตามด่าก็เหนื่อยล้าไปตามๆกัน..
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่พระบรมศาสดาไม่กริ้วตอบนั้น พระอานนท์พุทธอนุชากลับรู้สึกขัดเคืองและอับอายขายหน้าอยู่ไม่น้อย ที่ไม่ว่าตนและพระพุทธองค์จะย่างพระบาทไปทางใดเป็นถูกมหาชนนับร้อยตามไปด่าผรุสวาจาทั่วทุกหัวระแหงเหมือนพวกแร้งทึ้งซากศพอย่างหิวกระหาย...เมื่อเป็นเช่นนี้ วันหนึ่งพระอานนท์จึงชวนพระบรมศาสดาหนีปัญหา..
"จะหนีไปไหนอานนท์" พระพุทธองค์ตรัสถาม
"หนีไปเมืองอื่นพระพุทธเจ้าข้า" พระพุทธอนุชาถาม
"ถ้าหนีไปเมืองอื่นแล้วเขาตามไปด่าอีกเล่า เราจะหนีไปไหนอีกอานนท์"
"ก็ต้องหนีไปอีกเมืองหนึ่งพระพุทธเจ้าข้า"
"อานนท์เอย! การหนีปัญหาอย่างนั้นหาควรไม่ ที่ถูกนั้นเรื่องเกิดขึ้นที่ไหนก็ต้องให้มันดับไปในที่นั้นถึงจะถูก"
"อานนท์เอย! เราตถาคตย่อมเป็นเช่นเดียวกับพญาคชสารที่ก้าวสู่สงคราม ธรรมดาว่าพญาคชสารที่ก้าวเข้าสู่สงครามแล้วจำจะต้องทรหดอดทนต่อลูกศรอันแล่นมาจากจาตุรทิศฉันใด เราตถาคตก็ฉันนั้น จำต้อง อดทนต่อถ้อยคำบริภาษของเหล่าพาลชนคนไม่มีศีลฉันนั้นเหมือนกัน"
อนึ่ง ผู้ใดก็ตามสามารถอดทนต่อถ้อยคำจ้วงจาบหยาบคายของพาลชนคนถ่อยได้ ผู้นั้นย่อมนับว่าเป็นยอดคนในหมู่มนุษย์ทั้งหลาย..
"อานนท์เอย เธออย่ากังวลไปเลย คนเหล่านี้จะทนด่าเราอยู่ได้อย่างน้อยก็ไม่เคย ๗ วัน พอถึงวันที่๘ ทุกคนก็จะหยุดไปเอง"
เป็นดังคาด..ในที่สุดพวกรับจ้างด่าพระพุทธเจ้าก็สลายไปตามยถากรรม