พบเด็กไทยอ่านการ์ตูนมากกว่าตำราวิชาการ!!!!

เพราะเด็กในวัยเรียนไม่เห็นความสำคัญ ของหนังสือนอกเวลา ขณะที่ข้อมูลจากเว็บไซต์ต่าง ๆ มีอิทธิพลมากกว่า ประชาชนแนะภาครัฐเพิ่มห้องสมุด ลดราคาหนังสือ...

ศรีปทุมโพล โดยสำนักวิจัยมหาวิทยาลัยศรีปทุม ได้สำรวจพฤติกรรมการอ่านของคนไทยใน พ.ศ. 2552 ที่ผ่านมา เนื่องจากรัฐบาลประกาศให้การอ่านเป็นวาระแห่งชาติในปี 2552 และ กำหนดทศวรรษการอ่านหนังสือ (พ.ศ. 2552-2561) จากกลุ่มตัวอย่าง จำนวน 3,000 คน ในเขตกรุงเทพมหานคร ในเดือนมกราคม พ.ศ. 2553 ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อติดตามผลจากการรณรงค์ให้คนไทยรักการอ่านของรัฐบาล

จากผลการสำรวจว่า ในปี 2552 ประชาชนซื้อหนังสืออ่าน (ไม่รวมหนังสือพิมพ์ นิตยสาร หรือ วารสาร) ร้อยละ 70.70 และไม่ซื้อ ร้อยละ 29.30

หากซื้อหนังสือจะซื้อหนังสือที่ให้ความรู้ เช่น ประวัติศาสตร์ วิทยาศาสตร์ การเมือง เศรษฐกิจ สังคม ร้อยละ 15.98,

รองลงมา หนังสือการ์ตูน ร้อยละ 15.94

อันดับ 3 นิยายวัยใส ร้อยละ 14.29,

อันดับ 4 หนังสือประเภท how to ร้อยละ 13.91,

อันดับ 5 หนังสือที่เขียนโดยคนดัง ร้อยละ 9.95, 

อันดับ 6 หนังสือธรรมะ ร้อยละ 9.15,

อันดับ 7 หนังสือเด็กและเยาวชน ร้อยละ 7.69,

อันดับ 8 หนังสือดวงชะตา ร้อยละ 6.60,

อันดับ 9 หนังสือบุญกรรม ร้อยละ 5.94

และอันดับสุดท้าย หนังสืออื่น ๆ นอกเหนือจากนี้ ร้อยละ 0.57

เมื่อจำแนกตามเพศพบว่า

เพศชายชอบอ่านหนังสือการ์ตูน ร้อยละ 18.27 และหนังสือให้ความรู้ ร้อยละ 16.36

ส่วนเพศหญิงชอบอ่านนิยายวัยใส ร้อยละ 15.87 และหนังสือทั่วไป ร้อยละ 13.40

หากจำแนกตามอายุพบว่า

ประชาชนอายุไม่เกิน 20 ปี ชอบอ่านหนังสือการ์ตูน ร้อยละ 24.95,

รองลงมา คือนิยายวัยใส ร้อยละ 23.37,

ส่วนอายุ 21 – 30 ปี ชอบอ่านหนังสือการ์ตูน ร้อยละ 16.74 รองลงมา คือนิยายวัยใส ร้อยละ 14.92

อายุ 31 – 40 ปี ชอบอ่านหนังสือให้ความรู้ ร้อยละ 15.30 รองลงมา คือหนังสือเขียนโดยคนดัง ร้อยละ 12.12

อายุ 41 – 50 ปี ชอบอ่านหนังสือทั่วไป ร้อยละ 19.25 รองลงมา คือ หนังสือธรรมะ ร้อยละ 16.09

อายุ 51 – 60 ปี ชอบอ่านหนังสือธรรมมะ ร้อยละ 24.63 รองลงมาคือหนังสือทั่วไป ร้อยละ 23.13

และอายุ 60 ปีขึ้นไป ชอบอ่านหนังสือทั่วไป ร้อยละ 30.77 รองลงมาคือหนังสือธรรมมะ ร้อยละ 17.95

 

ซึ่งหากจำแนกตามอาชีพพบว่า

นักเรียนชอบอ่านหนังสือการ์ตูน ร้อยละ 27.47

รองลงมา คือ หนังสือวัยใส ร้อยละ 23.15

นิสิต/นักศึกษาชอบอ่านหนังสือการ์ตูน

รองลงมา คือ นิยายวัยใส ร้อยละ 19.01

พนักงานเอกชนชอบอ่านหนังสือให้ความรู้ ร้อยละ 17.07

รองลงมา คือ หนังสือเขียนโดยคนดัง ร้อยละ 13.54

ข้าราชการชอบอ่านหนังสือ ให้ความรู้ ร้อยละ 19.48

รองลงมาคือ หนังสือธรรมมะ ร้อยละ 16.23, พนักงานรัฐวิสาหกิจชอบอ่านหนังสือการ์ตูน และชอบอ่านหนังสือให้ความรู้ ร้อยละ 14.19 เท่ากัน

ผู้ทำธุรกิจส่วนตัวชอบอ่านหนังสือทั่วไป ร้อยละ 19.19 รองลงมา คือ หนังสือให้ความรู้ ร้อยละ 13.80

รับจ้างชอบอ่านหนังสือทั่วไป ร้อยละ 26.67 รองลงมา คือ หนังสือให้ความรู้  ร้อยละ 11.00

และแม่บ้านชอบอ่านหนังสือทั่วไป ร้อยละ 21.92 รองลงมา คือหนังสือบุญกรรม ร้อยละ 14.38

 

เมื่อถามว่า รัฐบาลควรดำเนินการอย่างไรให้คนไทยรักการอ่านมากขึ้น

ประชาชนเห็นว่า ควรเพิ่มห้องสมุดประชาชนให้ทั่วถึง เพื่อกระจายหนังสือให้มากขึ้น ร้อยละ 19.80

รองลงมา หาวิธีลดราคาหนังสือลง เพื่อให้คนหาซื้อหนังสือเยอะขึ้น ร้อยละ 17.77

อันดับ 3 ร้อยละ 11.60 พิมพ์หนังสือแจกให้กับนักเรียนนักศึกษา หรือบุคคลทั่วไปเนื่องในโอกาสหรือเทศกาลสำคัญต่างๆของไทย

อันดับ 4 ร้อยละ 11.00 ส่งเสริมสนับสนุนให้มีแหล่งเรียนรู้ในลักษณะ TK Park ให้มากขึ้น

อันดับ 5 ร้อยละ 10.37 ส่งเสริมสนับสนุนให้เกิดการพัฒนาคุณภาพของหนังสือมากขึ้น

อันดับ 6  ร้อยละ 10.07 กำหนดองค์การขึ้นมารับผิดชอบการส่งเสริมการอ่านอย่างจริงจัง

อันดับ 7 ร้อยละ 9.10 ซื้อหนังสือแจกให้กับนักเรียนนักศึกษา หรือบุคคลทั่วไป เนื่องในโอกาสหรือเทศกาลสำคัญต่างๆของไทย

อันดับ 8 ร้อยละ 5.23 สนับสนุนการเปิดแผงหนังสือ หรือร้านหนังสือ

อันดับ 9 ร้อยละ 4.60  ลดภาษี เพื่อให้คนหรือองค์กรธุรกิจบริจาคหนังสือเข้าห้องสมุดหรือสถาบันการศึกษา และ อันดับสุดท้าย ไม่แสดงความคิดเห็น ร้อยละ 0.47

ผอ.สำนักวิจัยฯ ม.ศรีปทุม กล่าวต่อว่า จากข้อมูลนี้แสดงให้เห็นได้ว่าเด็กไทยยุคใหม่ไม่นิยมซื้อหาหนังสือที่มีความรู้มาอ่านเพื่อประเทืองปัญญา แต่กลับนิยมหนังสือการ์ตูนและหนังสือนิยาย อาจจะเป็นเพราะเด็กในวัยเรียนยังมองไม่เห็นความสำคัญของหนังสืออ่านนอกเวลา ที่นอกจากหนังสือเรียน ถ้าหากออกนอกห้องเรียนแล้วก็จะไม่หยิบหนังสืออย่างอื่นอ่านเลย  อีกทั้งจากสถิติส่วนใหญ่คนที่ซื้อหนังสือจะซื้อเฉลี่ย 1 – 2 เล่ม ต่อปีที่ถือว่าน้อยมาก

 

นางสาวปิยากร กล่าวอีกว่า นอกจากนั้น กลุ่มคนบางกลุ่มที่ไม่ซื้อหนังสืออ่าน แต่เหตุผลที่ไม่ซื้อ เป็นเพราะหาอ่านจากห้องสมุดและแหล่งเรียนรู้อื่น ๆ โดยส่วนมาก คือ การศึกษาจากเว็บไซต์ และเหตุผลของคนที่ไม่ได้อ่านหนังสือเลย เพราะว่าไม่มีเวลาอ่านหนังสือ หนังสือมีราคาแพงเกินไป และ ไม่ชอบอ่านหนังสือ สำหรับกลุ่มคนที่ไม่ชอบอ่านหนังสือ ได้แก่ อาชีพรับจ้าง และ นิสิต/นักศึกษา จึงเป็นที่น่าตกใจมากว่าเด็กในวัยเรียนแต่กลับไม่ชอบอ่านหนังสือ ดังนั้น เราควรสนับสนุนด้านการอ่านให้เพิ่มมากขึ้นกว่าเดิมเพื่อกระตุ้นให้นักเรียน นิสิต/นักศึกษา รู้สึกอยากอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้น

    ผอ.สำนักวิจัยฯ ม.ศรีปทุม กล่าวด้วยว่า ประชาชนส่วนมากให้แง่คิดในการสนับสนุนที่จะทำให้ตัวเองและคนไทยรักการอ่านเพิ่มขึ้นว่า ควรเพิ่มห้องสมุดประชาชนให้ทั่วถึง เพื่อกระจายหนังสือมากขึ้น รองลงมา คือ หาวิธีลดราคาหนังสือลง เพื่อให้คนหาซื้อหนังสือมากขึ้น และ พิมพ์หนังสือแจกให้กับนักเรียนนักศึกษา หรือบุคคลทั่วไปเนื่องในโอกาส หรือ เทศกาลสำคัญต่าง ๆ ของไทย ซึ่งก็เป็นวิธีที่ดี และน่าสนใจมากทีเดียวที่ประชาชนช่วยกันเสนอความคิดเห็น ที่จะช่วยให้พวกเขาเองหันมาอ่านหนังสือเพิ่มมากขึ้นจากเดิม    

Credit: ไทยรัฐออนไลน์
7 มี.ค. 53 เวลา 12:45 3,811 5 50
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...