จิบทุกวันฟันไม่เหลือ

ความรู้สึกเสียดายฟันและเห็นความสำคัญของฟันอย่างมากๆ มักเกิดเมื่อเราต้องสูญเสียมันไป และมีผลทำให้เราเคี้ยวอาหารไม่ถนัด ลำบาก หรือจะยอมไม่ได้เลยหากปล่อยฟันหน้าให้หลอข้ามวัน ทุกคนไม่อยากสูญเสียฟัน โดยพื้นฐานการทำความสะอาดฟันให้คราบอาหารหมดไม่ติดฟันมีส่วนทำให้ฟันมีอายุนานขึ้น แต่ฟันดีไม่ดีนั้นไม่ได้ขึ้นกับการทำความสะอาดฟันเพียงอย่างเดียว ปัจจัยสำคัญ

อีกอย่างที่เรามักมองข้ามไป คือ อาหาร

อาหารมี 2 ลักษณะที่เกี่ยวกับฟัน คือ อาหารที่ทำให้ฟันแข็งแรง ซึ่งเราต้องได้รับให้ได้สัดส่วนพอเพียง เช่น นม เนย ไข่ ผัก แต่อีกพวก

ที่เราต้องหลีกเลี่ยงและมีผลเสียต่อฟัน เช่น พวกที่มีรสหวาน แข็ง พวกที่เป็นกรด มักเป็นส่วนเกินที่แม้เราขาดร่างกายก็ยังคงอยู่ได้ แต่เรามักจะกินเพราะติดในรสชาติ รสหวานอร่อยที่แฝงมาในรูปน้ำหวาน น้ำอัดลม ขนมต่าง ๆ


ในปัจจุบันคนไทยเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรมดื่มน้ำอัดลมแทนน้ำเปล่ากันอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในเด็กวัยรุ่น แนวโน้มของโรคในช่องปากที่เกิดขึ้นก็เริ่มมีความสัมพันธ์กับการเปลี่ยนแปลงนี้ น้ำอัดลมมีผลเสีย 2 เรื่องใหญ่ๆ คือ ทำให้ฟันผุง่ายขึ้น และทำให้ฟันกร่อนง่ายขึ้น


น้ำอัดลม โดยตัวของมันเองมีน้ำตาลที่เข้มข้น รสหวานจัด แต่เพราะมีคาร์บอเนตรสซาบซ่าบดบังทำให้เรามักมองข้ามอันตรายเงียบๆ ตรงนี้ไป ซึ่งแบคทีเรียจะชอบมาก ถ้าที่ไหนมีน้ำตาล มันจะเปลี่ยนน้ำตาลเป็นกรดทันที เมื่อฟันสัมผัสกับกรดก็ทำลายฟัน เกิดฟันผุง่ายเช่นกัน 

มีข้อมูลการสำรวจของ National Health and Nutrition Examination ของประเทศสหรัฐอเมริกาพบว่า ยิ่งดื่มน้ำอัดลมมาก โอกาสฟันผุมากขึ้น คนที่ดื่มน้ำอัดลม 2-3 ครั้งต่อวันมีโอกาสฟันผุสูงถึง 17-26% มากกว่าคนไม่ดื่ม ในอังกฤษก็เช่นกัน เด็กนักเรียนที่ดื่มน้ำอัดลม 1 กระป๋อง / สัปดาห์ มีฟันผุมากกว่า 3% ถ้าเปรียบเทียบกับคนไม่ดื่ม

ในเรื่องฟันสึกกร่อน ก็เพราะว่าน้ำอัดลมมีฤทธิ์เป็นกรดจากฟอสฟอริก กรดคาร์บอนิค กรดซิตริก เมื่อมีการสัมผัสกับผิวฟันมันจะทำให้ฟันสึกกร่อนไปเรื่อยจนเป็นร่องลึก ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่ที่ทำให้เกิดอาการเสียวฟันก่อความรำคาญให้กับหลายคนชนิดเห็นน้ำเย็น น้ำแข็ง ไอศกรีม ต่างก็รู้สึกขยาดไปตามๆ กัน

การต่อสู้กับฟันผุ เหงือกอักเสบ หากเราจะตามแก้ไขปัญหาที่ปลายเหตุอย่างเดียวก็คงต้องเสียค่าใช้จ่ายมหาศาล และยากที่จะให้การรักษาได้ทันให้ถ้วนทั่วทุกคน แล้วในประเทศที่ร่ำรวยและมีความเจริญมากในระบบสุขภาพ เขารณรงค์เรื่องนี้กันอย่างไร?

หลังจากที่พบว่าตลอดระยะเวลา 50 ปี มีสถิติที่น่าตกใจว่าคนอเมริกันดื่มน้ำอัดลมเพิ่มขึ้นถึง 500% ในระหว่างปี ค.ศ. 1989-1995 คนอเมริกันดื่มน้ำอัดลมจากวันละ 195 มล. เพิ่มเป็น 275 มล. แต่น่าสังเกตว่ากลุ่มวัยรุ่นดื่มเพิ่มจาก 345 มล. เป็น 570 มล. ถ้าคิดรวมทั้งปี คนอเมริกันดื่มน้ำอัดลม 53แกลลอนต่อคนต่อปี ไม่แปลกเลยที่ตลาดน้ำอัดลมของสหรัฐอเมริกามียอดขายถึง 60,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี

การดื่มน้ำอัดลมในหมู่วัยรุ่นอเมริกันที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็วจึงเป็นประเด็นที่ถูกหยิบยกขึ้นมาเป็นปัญหาระดับชาติในเรื่องของการเป็นอันตรายต่อสุขภาพเช่นเดียวกับเหล้า บุหรี่ เพราะน้ำอัดลมมีความหวานทำให้เกิดฟันผุ น้ำอัดลมมีฤทธิ์เป็นกรดทำให้ฟันสึกกร่อน น้ำอัดลมมีกรดฟอสฟอริกทำให้การดูดซึมของแคลเซียมได้น้อยลงมีผลทำให้เป็นโรคกระดูกพรุน นอกจากนี้การที่มีน้ำตาลมากนั้นยังส่งผลกระทบต่อผู้ดื่มโดยไม่รู้ตัว คือ เป็นโรคอ้วน และเป็นเหตุทำให้เกิดเบาหวานชนิดที่ 2 ได้

เมื่อเดือนมีนาคม ค.ศ.2006 สมาคมเครื่องดื่มของสหรัฐอเมริกาจับมือกับยักษ์ใหญ่แห่งวงการเครื่องดื่ม ได้แก่ Cadbury Schweppes, Coca Cola, Pepsi Co. ตกลงกันว่าจะหยุดขายเครื่องดื่มในโรงเรียนทั้งสหรัฐอเมริกาภายในปี ค.ศ.2009 นั่นหมายความว่าหลังปี 2009 จะไปหา Pepsi, Coke ในโรงเรียนอเมริกาไม่เจอ

ประกาศอันนี้เป็นที่ขานรับจากสมาคมโรคหัวใจของสหรัฐอเมริกาที่พยายามรณรงค์ให้เด็กวัยรุ่นมีสุขภาพดี แข็งแรง โดยลดอาหารที่ก่อให้เกิดแคลอรีเกินความต้องการของร่างกาย

Dr.Bob Brandford นายกสมาคมทันตแพทย์สหรัฐอเมริกาออกมาสนับสนุนว่า “นี่เป็นทิศทางที่ถูกต้องที่จะทำให้เด็กนักเรียนมีสุขภาพที่ดีขึ้น” เพราะ “ฟันดี ห่างจากโรคอ้วน โรคเบาหวาน”

ที่รัฐ Minnesota เขาก็มีการรณรงค์เกี่ยวกับเรื่องนี้และมีคำขวัญว่า “Sip all day get Decay” ก็พอเทียบเคียงภาษาไทยว่า “จิบทุกวัน ฟัน(ผุ)ไม่เหลือ” ถึงเวลาแล้วหรือยัง ที่โรงเรียนไทยไม่มีน้ำอัดลมขาย!!!


ที่มา .healthtoday.net

Credit: http://variety.teenee.com/foodforbrain/53164.html
4 มิ.ย. 56 เวลา 13:49 2,637 1 60
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...