เที่ยว“ชัยภูมิ” ตื่นตาทุ่งดอกกระเจียว

ในช่วงหน้าฝน เดือนมิถุนายน-สิงหาคมของทุกปี เป็นช่วงเวลาที่ดอกกระเจียวในจังหวัดชัยภูมิกำลังบานสะพรั่งเต็มท้องทุ่ง นักท่องเที่ยวและผู้ที่รักการถ่ายภาพต่างเฝ้ารอให้ช่วงเวลานี้มาถึง เพราะความงดงามของดอกกระเจียว ดอกไม้ซึ่งเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของจังหวัด และความสวยงามของแหล่งท่องเที่ยวในจังหวัดชัยภูมิ ได้สร้างความประทับใจให้แก่ผู้ที่มาเยือนเสมอมา ดังคำขวัญของจังหวัดที่ว่า“ทิวทัศน์สวย รวยป่าใหญ่ มีช้างหลาย ดอกไม้งาม ลือนามวีรบุรุษ สุดยอดผ้าไหม พระใหญ่ทวารวดี” 


“ดอกกระเจียว” หรือที่บางคนเรียกว่า “บัวสวรรค์” นั้น เป็นพืชวงศ์เดียวกับขิง และเป็นไม้ล้มลุกซึ่งมีเหง้าอยู่ใต้ดิน ในช่วงฤดูหนาวและฤดูร้อนเหง้าดอกกระเจียวจะนอนหลับไหลอยู่ใต้ดิน และเมื่อเข้าสู่หน้าฝน สายฝนจะปลุกดอกกระเจียวให้ตื่นมาบานเริงร่า จนเป็นที่มาของเทศกาลท่องเที่ยวดอกกระเจียวงามในจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งมีให้ชมกันสองแห่งนั่นก็คือที่อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม และอุทยานแห่งชาติไทรทอง

“อุทยานแห่งชาติป่าหินงาม” อยู่ในอำเภอเทพสถิต มีดอกกระเจียวสีชมพูอมม่วงเบ่งบานเต็มท้องทุ่ง และในหน้าฝนอย่างนี้ทุ่งดอกกระเจียวจะมีอากาศเย็นฉ่ำและมีหมอกฝนลอยอยู่ตามยอดหญ้า เพิ่มความโรแมนติกและสร้างบรรยากาศในการชมดอกไม้ให้น่าประทับใจยิ่งขึ้นไปอีก และเพื่อความสะดวกสบายของนักท่องเที่ยว ทางอุทยานฯ ได้ทำทางเดินชมธรรมชาติตัดผ่านเข้าไปในทุ่งดอกกระเจียวให้ได้สัมผัสดอกไม้กันอย่างใกล้ชิดโดยที่ไม่ต้องเหยียบต้นหญ้าและดอกไม้ให้บอบช้ำ พร้อมกับห้ามนักท่องเที่ยวเดินออกนอกเส้นทางและห้ามเด็ดดอกกระเจียวอย่างเด็ดขาด แต่ก็ยังมิวายมีคนฝ่าฝืนได้ทุกปี ก็ต้องเสียค่าปรับ 500 บาท 

ชมดอกไม้แล้วอย่าลืมไปชมทิวทัศน์กันที่ “ผาสุดแผ่นดิน” ซึ่งเป็นจุดที่สูงที่สุดของเทือกเขาพังเหยในอุทยานแห่งชาติป่าหินงาม ที่จุดชมวิวแห่งนี้จะมองเห็นวิวของสันเขาสลับซับซ้อนกันสวยงาม มองเห็นที่ราบภาคกลางเบื้องล่างในเขตจังหวัดลพบุรี พร้อมกับรับลมเย็นสบาย

และนอกจากดอกกระเจียวอันสวยงามแล้ว ที่อุทยานฯ แห่งนี้ยังมีประติมากรรมหิน อยู่ที่ “ลานหินงาม” ซึ่งมีหินรูปร่างแปลกตาเกิดจากการกัดเซาะของลมและฝน จนกลายเป็นแท่งหินรูปลักษณ์แตกต่างกันให้คนได้จินตนาการ เช่น หินถ้วยฟีฟา หินรูปเรดาห์ หินตะปู หินรูปปราสาทโบราณ ฯลฯ เดินชมกันได้เพลินๆ

ส่วนดอกกระเจียวที่ “อุทยานแห่งชาติไทรทอง” อำเภอหนองบัวระเหว มีให้ชมกัน 5 ทุ่งใหญ่ๆ มีความพิเศษตรงที่นอกจากจะมีสีชมพูอมม่วงแล้ว ยังมีดอกกระเจียวสีขาวขนาดเล็ก เมื่อบานเต็มทุ่งหญ้ามองดูคล้ายดวงดาวสีขาวแต่งแต้มพื้นดินสวยงามไม่แพ้กัน แต่การไปชมดอกกระเจียวจะต้องเดินผ่านแนวหน้าผาตามสันเขาพังเหยด้านตะวันตก ซึ่งเรียกชื่อต่างกันไป เช่น ผาพ่อเมือง ผาเพลินใจ ผาอาทิตย์อัสดง ผาสวนสวรรค์ แต่หน้าผาที่ขึ้นชื่อที่สุดของอุทยานฯไทรทองต้องยกให้ "ผาหำหด" ฟังชื่อแล้วก็ไม่ต้องบรรยายถึงความสูงและความเสียว แต่ใครจะเสียวมากเสียวน้อยต้องลองมาพิสูจน์ด้วยตัวเอง

เดินถ่ายรูปกับดอกกระเจียวและชมทิวทัศน์สวยๆ เสร็จแล้ว เมื่อกลับมาที่ทำการอุทยานเบื้องล่างอีกครั้งก็อย่าลืมแวะไปพักผ่อนกับสายน้ำเย็นๆที่ “น้ำตกไทรทอง” น้ำตกที่มีความสูงประมาณ 5 เมตร กว้าง 80 เมตร ในช่วงหน้าน้ำสายน้ำตกจะแผ่กว้างตกลงมาเป็นม่านน้ำงดงาม มีแอ่งน้ำใหญ่อยู่บริเวณหน้าน้ำตก เรียกว่าวังไทร สามารถลงเล่นน้ำกันได้

นอกจากแหล่งท่องเที่ยวทั้งสองแห่งนี้แล้ว ในจังหวัดชัยภูมิยังมีแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติอีกหลายแห่งด้วยกัน หนึ่งในนั้นที่น่าสนใจก็คือ “มอหินขาว” ในอุทยานแห่งชาติภูแลนคา อำเภอเมืองชัยภูมิ ที่นี่มีความแปลกตรงที่มีแท่งหินขนาดยักษ์ 5 ต้นตั้งเรียงรายท่ามกลางท้องทุ่งสีเขียว จากการสำรวจโดยกรมทรัพยากรธรณีสันนิษฐานว่าก้อนหินขนาดยักษ์เหล่านี้มีอายุประมาณ 175-195 ล้านปีและเกิดจากการสะสมตัวของตะกอนทรายแป้งและดินเหนียว และนอกจากเสาหินยักษ์ทั้ง 5 ต้นแล้ว ในบริเวณใกล้เคียงยังมีดงหิน ซึ่งมีก้อนหินขนาดใหญ่รูปทรงต่างๆ ตั้งอยู่กระจัดกระจาย สามารถปีนขึ้นไปชมวิวด้านบนหินได้ อีกทั้งยังมีหน้าผาสูงที่เป็นจุดชมวิวอันสวยงาม เช่น ผากล้วยไม้ ที่เป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกได้เป็นอย่างดี


เมืองชัยภูมิยังมีสถานที่ท่องเที่ยวชื่อดังอีกแห่งหนึ่ง นั่นก็คือ “น้ำตกตาดโตน” ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติตาดโตน คำว่าตาดนั้นก็หมายถึงลานหินกว้างใหญ่ ส่วนคำว่าโตนนั้นก็หมายถึงลักษณะอาการที่สายน้ำตกลงไปเบื้องล่าง ที่น้ำตกแห่งนี้มีน้ำไหลตลอดปี ไม่เคยแห้งแม้ในช่วงหน้าแล้ง เพราะน้ำนั้นจะถูกปล่อยจากเขื่อนประทาวซึ่งอยู่เหนือน้ำตกขึ้นไป นักท่องเที่ยวจึงสามารถมาเที่ยวที่นี่ได้ตลอดปี อีกทั้งบริเวณนี้ยังมีศาลเจ้าพ่อตาดโตน (ศาลปู่ด้วย) ซึ่งเป็นที่เคารพของชาวบ้านในแถบนั้นด้วย

ชัยภูมิยังเป็นจังหวัดที่มีความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า โดยมีเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าภูเขียว มีอาณาเขตครอบคลุมพื้นที่ป่าในอำเภอคอนสาร เกษตรสมบูรณ์ และหนองบัวแดง พื้นที่ประมาณ 1,125,000 ไร่ มีภารกิจในด้านการอนุรักษ์สัตว์ป่า และเพาะเลี้ยงขยายพันธุ์สัตว์ป่า เช่น ไก่ฟ้าพญาลอ นกยูง เก้ง กวาง และเนื้อทราย เป็นต้นโดยปล่อยสัตว์ให้อาศัยอยู่ในพื้นที่ธรรมชาติ สามารถสืบพันธุ์และขยายพันธุ์ได้เอง ได้มีการจัดทำเส้นทางศึกษาธรรมชาติสำหรับผู้สนใจศึกษาธรรมชาติอย่างใกล้ชิด แต่การเข้าไปทัศนศึกษาต้องติดต่อกับทางเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าเสียก่อน

และด้วยความอุดมสมบูรณ์ของผืนป่า ชัยภูมิจึงเป็นเมืองที่มีสัตว์ใหญ่อย่างช้าง ไม่ด้อยไปกว่าจังหวัดสุรินทร์ที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองช้าง โดยเฉพาะที่อำเภอจัตุรัสถือว่าเป็นอำเภอที่มีช้างอยู่มากเช่นกัน


สถานที่ท่องเที่ยวที่กล่าวมาทั้งหมดนั้นตรงกับช่วงต้นของคำขวัญจังหวัดชัยภูมิ คือ “ทิวทัศน์สวย” “รวยป่าใหญ่” “มีช้างหลาย” และ “ดอกไม้งาม” ส่วน “ลือนามวีรบุรุษ” นั้น หมายถึง “พระยาภักดีชุมพล (แล)” หรือที่ชาวชัยภูมิเรียกกันว่าเจ้าพ่อพระยาแล (พญาแล) ผู้ตั้งเมืองชัยภูมิและเจ้าเมืองชัยภูมิคนแรก แม้ท่านจะเป็นชาวเวียงจันท์ แต่ก็มีความจงรักภักดีต่อกษัตริย์แห่งเมืองสยาม ดังเมื่อเจ้าอนุวงศ์แห่งเมืองเวียงจันท์ก่อการกบฏขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 3 พระยาภักดีชุมพลพร้อมด้วยเจ้าเมืองใกล้เคียงได้ยกทัพออกไปสมทบกับคุณหญิงโมตีกระหนาบทัพเจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์จนแตกพ่ายไป ฝ่ายกองทัพลาวส่วนหนึ่งล่าถอยจากเมืองนครราชสีมาเข้ายึดเมืองชัยภูมิไว้และเกลี้ยกล่อมให้พระยาแลเข้าร่วมเป็นกบฏด้วย แต่พระยาภักดีชุมพลไม่ยอม เจ้าอนุวงศ์เวียงจันทน์เกิดความแค้น จับตัวพระยาภักดีชุมพลมาประหารชีวิตที่บริเวณใต้ต้นมะขามใหญ่ริมหนองปลาเฒ่า ซึ่งต่อมาบริเวณนี้ได้จัดสร้างเป็น "ศาลเจ้าพ่อพระยาแล" ที่ชาวชัยภูมิให้ความเคารพ อีกทั้งบริเวณวงเวียนกลางเมืองชัยภูมิก็ยังมีอนุสาวรีย์ของท่านตั้งอยู่ด้วย


เมืองชัยภูมินอกจากจะมีแหล่งท่องเที่ยวน่าสนใจหลายแห่งแล้ว ยังมีโบราณวัตถุชิ้นสำคัญของไทยที่ขุดค้นพบที่นี่ นั่นก็คือพระพุทธรูปใหญ่สมัยทวารวดี เป็นพระพุทธรูปหินทรายแกะสลักองค์ใหญ่รูปทรงงดงาม สร้างขึ้นในสมัยทวารวดี เป็นที่เคารพนับถือของชาวบ้านซึ่งเรียกกันว่า “หลวงพ่อใหญ่” นอกจากนั้นก็ยังพบเสมาหินทรายแกะสลักและไม้แกะสลักหลายชิ้นอีกด้วย ผู้ที่ต้องการชมต้องไปยังวัดคอนสวรรค์ ในอำเภอคอนสวรรค์

ส่วนที่ “วัดศิลาอาสน์ ภูพระ” ในอำเภอเมือง เป็นอีกวัดหนึ่งที่ชาวชัยภูมิให้ความเคารพ และยังขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานอีกด้วย จุดสำคัญคือในบริเวณวัดจะมีเพิงผาหินจำหลักเป็นภาพพระพุทธรูปองค์ใหญ่ หน้าตักกว้าง 5 ฟุต ปางสมาธิเพชร พระหัตถ์ขวาวางอยู่ที่พระเพลา พระหัตถ์ซ้ายพาดอยู่บนพระชงฆ์ ชาวบ้านเรียกท่านว่า"พระเจ้าองค์ตื้อ" และบริเวณใกล้เคียงก็ยังมีก้อนหินที่สลักเป็นรูปพระสาวกอีก 7 องค์ด้วยกัน มีผู้สันนิษฐานว่าพระพุทธรูปสลักจากหินเหล่านี้มีอายุอยู่ระหว่างพุทธศตวรรษที่ 18-19 คนที่ไปไหว้มักจะขอพระเจ้าองค์ตื้อในเรื่องเกี่ยวกับสุขภาพ โรคภัยไข้เจ็บต่างๆ และอีกอย่างหนึ่งคือขอบุตรจากท่าน

โบราณสถานอีกแห่งหนึ่งที่สำคัญของเมืองชัยภูมิก็คือ “ปรางค์กู่” ปราสาทหินสมัยขอมที่ใช้เป็นอโรคยาศาล หรือสถานพยาบาลที่สร้างขึ้นในพุทธศตวรรษที่ 18 มีปรางค์ประธานอยู่ตรงกลาง 1 องค์ วิหารหรือบรรณาลัยอยู่ด้านหน้า 1 หลัง ล้อมรอบด้วยกำแพงศิลาแลง บริเวณประตูหลอกด้านทิศเหนือยังคงมีทับหลังประดับอยู่เป็นภาพพระพุทธรูปประทับนั่งปางสมาธิเหนือหน้ากาลอีกด้วย

เดินทางท่องเที่ยวจนทั่วแล้ว ก่อนกลับอย่าลืมเลือกซื้อของฝากเป็นผ้าไหมไชยภูมิ ที่ถือเป็นสุดยอดผ้าไหมที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะผ้าไหมของอำเภอบ้านเขว้า ซึ่งมีชื่อเสียงเรื่องของการทอผ้าไหมและผ้าฝ้ายคุณภาพดี ลวดลายสวยงาม โดยเฉพาะผ้าไหมมัดหมี่ซึ่งเป็นที่รู้จักแพร่หลายในชื่อ "ผ้าไหมบ้านเขว้า" เป็นที่นิยมสำหรับผู้ใช้ผ้าพื้นเมือง โดยสียอดนิยมของผ้าไหมบ้านเขว้า คือสีน้ำเงิน สีน้ำทะเล และสีเทา และลายผ้าที่มีชื่อเสียง เป็นที่รู้จักของชาวไทย และชาวต่างประเทศ คือผ้าไหมมัดหมี่ลายขอน้อย เราสามารถมาเรียนรู้เรื่องราวของผ้าไหมบ้านเขว้ากันได้ที่ศูนย์ส่งเสริมผ้าไหมจังหวัดชัยภูมิ ซึ่งจะมีการสาธิตการทอผ้า รวมทั้งกระบวนการต่างๆ กว่าจะออกมาเป็นผ้าหนึ่งผืน และอย่าลืมเลือกซื้อสินค้าผลิตภัณฑ์จากผ้าฝ้ายและผ้าไหมเพื่อเป็นการสนับสนุนของดีมีคุณภาพของพี่น้องชัยภูมิกันด้วย


Credit: http://variety.teenee.com/foodforbrain/52852.html
31 พ.ค. 56 เวลา 08:48 2,558 40
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...