สำนักข่าวต่างประเทศรายงานว่า นายเกรแฮม หนุ่มชาวสหรัฐ ได้เขียนบันทึกเรื่องราวชะตากรรมตัวเองป่วยมีอาการ "โรคซอมบี้" ภายหลังต้องป่วยด้วยโรคพิศดารนี้เป็นเวลากว่า 9 ปี ระบุว่า อาการดังกล่าวทำให้เขามีสภาพเหมือนตายทั้งเป็น คิดว่าตัวเองตายแล้ว แม้ว่าจริง ๆ เขายังหายใจและมีชีวิตอยู่ แต่สุดท้ายโชคดีได้รับการบำบัดจนดีขึ้นอย่างมาก และสามารถกลับมาใช้ชีวิตได้เกือบปกติ
รายงานระบุว่า นายเกรแฮม ถูกแพทย์วินิจฉัยว่า ป่วยด้วยอาการ" Cotard’s Syndrome"หรือที่เรียกว่า"อาการศพเดินได้" โดยผู้ป่วยจะคิดว่าตัวเองได้กลายเป็นมนุษย์ซอมบี้ และอาการดังกล่าวทำให้เขาไม่สนใจพฤติกรรมที่ปฎิบัติอยู่ในชีวิตประจำวัน เช่น สูบบุหรี่ พูดคุย และกินอาหาร เนื่องจากตัวเองคิดว่าตัวเองได้เสียไปชีวิตไปแล้ว
โดยอาการนี้ถือเป็นอาการป่วยที่หายากที่สุดของโลก และมีลักษณะเชื่อมโยงกับภาวะจิตหดหู่และอื่น ๆ รวมทั้งการรู้สึกว่าแขนขาไร้เรี่ยวแขนและไม่ทำงาน และที่ผ่านมา มีผู้ป่วยรายอื่น ๆ ของโรคนี้ ต้องเสียชีวิตเพราะขาดอาหาร เนื่องจากตัวเองไม่มีความอยากอาหาร หรือฆ่าตัวตายด้วยน้ำกรดเพราะต้องการปลดปล่อยตัวเองจากภาวะ"ตายทั้งเป็น"
ขณะที่บันทึกของนายเกรแฮมบรรยายว่า หลังจากเขาป่วยด้วยอาการ"โรคซอมบี้"เขาไม่รู้สึกอยากอาหารหรือต้องการจะพูดสิ่งใด ๆ และสมองว่างเปล่า ไม่รู้สึกว่ามีสิ่งใดมีความหมายต่อเขา ไม่ต้องการเจอหน้าผู้คน ช่วงเวลาดังกล่าวถือเป็นฝันร้ายที่สุด เพราะเขาต้องยอมรับภาวะที่เป็นอยู่ในสภาพเหมือนตัวเองตายทั้งเป็น
ทว่าต่อมา เขาเคราะห์ดีที่แพทย์พบว่า เขามีอาการฟื้นตัวหลังจากสมองของเขาทำงานบางส่วน ซึ่งแตกต่างจากผู้ป่วยที่สมองตาย ก่อนที่เขาจะได้รับการบำบัดรักษาจนหาย ด้วยการกินยาและการบำบัดกายภาพ และแม้ว่าเขาจะไม่ได้ฟื้นจากอาการดังกล่าวอย่างเต็มตัว แต่เขาก็ดีขึ้นมาก เพราะสามารถออกจากบ้านด้วยตัวเองได้ และรู้สึกว่าตัวเองดีขึ้นมากกว่าที่เคยเป็น โดยเขาไม่รู้สึกว่าตัวเองเป็นซอมบี้ หรือสมองตายอีกต่อไปแล้ว
ทั้งนี้ อาการ"Cotard’s Syndrome"ถูกพบขึ้นเป็นครั้งแรกเมื่อปี 1788 โดยถูกวินิจฉัยจากผู้ป่วยรายหนึ่ง จากนักประสาทวิทยาชาวฝรั่งเศส ชื่อว่า"จูเลส โคลาร์ด"ขณะที่ผุู้ป่วยอาการนี้รายล่าสุดเกิดขึ้นเมื่อปี 2008 เป็นหญิงวัย 53 ปีชาวนิวยอร์ก ซึ่งคิดว่าตัวเองตายแล้ว และขอให้ครอบครัวพาเธอไปสุสาน เพื่อที่จะได้ร่วมอยู่กับศพอื่น ๆ แต่เคราะห์ดี ครอบครัวของเธอได้พาเธอเข้าโรงพยาบาลเพื่อรักษาอย่างเร่งด่วน และเธอฟื้นอาการคืนสู่ปกติหลังรับการบำบัดเป็นเวลา 1 เดือน