เรื่องราวเริ่มต้นที่เมืองเล็กๆที่ประกอบอาชีพ ขุดเหมือง "Rotherham" ประเทศอังกฤษ ซึ่งในวันนั้น เกิดเหตุการณ์ไฟไหม้บ้านตระกูล Hall ทุกสิ่งทุกอย่างถูกเผาไหม้เป็นเถ้าถ่าน เว้นแต่ ภาพวาดเด็กผู้ชายร้องไห้รูปหนึ่งที่ถูกแขวนไว้ที่ผนัง โดยคุณนาย Hall ได้ร้องเรียนว่า สาเหตุที่บ้านไฟไหม้นั้น มีฝีมือมาจาก-รูปเด็กผู้ชายร้องไห้ และเมื่อข่าวนี้ได้ออกข่าวทางหนังสือพิมพ์ The Sun ไป ก็มีคนโทรศัพท์เข้ามาแจ้งความมากมายว่า ได้รับความเดือดร้อนจากรูปเด็กผู้ชายร้องไห้เหมือนกัน
ภาพเด็กชายร้องไห้นี้ เป็นผลงานของจิตรกร จี บราโกลิน ซึ่งวางขายอยู่ในห้างสรรพสินค้าของอังกฤษ และกล่าวกันว่า รูปนี้มีการตีพิมพ์ถึง 50,000 ใบ ซึ่งแน่นอนว่า มีคนที่ซื้อรูปเหล่านี้ไปเยอะมากๆ และผู้ที่เป็นเจ้าของรูปเหล่านี้ ก็โทรมารายงานว่า บ้านตัวเองไฟไหม้บ้าง แต่รูปๆนี้กลับไม่เป็นอะไร หรือบางรายบอกว่า จู่ๆรูปก็ขยับแกว่งไปมาเองได้ ส่วนอีกรายเมื่อรู้ความน่ากลัวของภาพนี้ เธอก็ได้พยายามจะทำลายมันโดยการเผาไฟทิ้ง แต่เมื่อเธอโยนรูปลงกองไฟแล้ว ไฟกลับไม่สามารถทำอะไรรูปเหล่านี้ได้เลย
ส่วนวิธีแก้คำสาปนั้น มีคนบอกไว้ว่า ให้หารูปเด็กผู้หญิงร้องไห้มาไว้คู่กัน เพื่อให้เด็กผู้ชายในรูปไม่เหงา
พูดถึงเพชรแล้ว หลายคนย่อมอยากได้มาไว้ในครอบครอง ยิ่งถ้าเป็นโคตรเพชร ที่มีน้ำหนักถึง 186 กะรัตด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องถามเลย แต่ถ้าเพชรเม็ดนี้ มีคำสาปติดตัวอยู่ ท่านยังอยากจะได้กันอยู่มั้ย
คำสาปนี้ เริ่มต้นเมื่อสมัยที่กษัตริย์โมกุล กษัตริย์ผู้ปกครองเมืองเดลี และยังเป็นเจ้าของเพชรเม็ดนี้ ได้ถูกกองทัพเปอร์เซียโจมตี ซึ่งนำทัพโดย Nadir Shah กษัตริย์โมกุลไม่อยากเสียเพชรเม็ดนี้ไป จึงได้ซ่อนเอาไว้ ที่ผ้าโพกหัว แต่ก็ไม่รอดสายตา Nadir Shah คับ สุดท้ายเพชรก็ตกอยู่ในมือของ Nadir Shah และถูกตั้งชื่อว่า Koh-i-Noor ซึ่งหมายถึง "หุบเขาแห่งแสง"
เพชรเม็ดนี้อยู่ในมือของกษัตริย์เปอร์เซีย มาประมาณ 110 ปี ก่อนจะเปลี่ยนมือมาอยู่ในความดูแลของราชวงศ์อังกฤษซึ่งเปลี่ยนผู้ถือมามาก มาย ส่วนสาเหตุที่เปลี่ยนเจ้าของนั้น เค้าบอกว่า หากใครได้ครอบครองเพชรเม็ดนี้แล้ว จะต้องมีอันเป็นไปทุกราย และสุดท้ายเพชรเม็ดนี้ก็ได้ตกมาอยู่ในมือของพระราชินีแห่งอังกฤษ แต่โชคดีมากที่พระราชินีไม่ได้รับผลของคำสาป จึงรอดตัวไปและได้เป็นเจ้าของรายสุดท้าย โดยเพชรเม็ดนี้ถูกนำไปประดับบนยอดมงกุฏของพระราชินีเอง
ขุมทรัพย์ที่กล่าวมาตามหัวเรื่องนั้น มีชื่อว่า The Lydian Hoard (แปลแล้วก็ประมาณว่า คอลเล็คชั่นขุมทรัพย์ลีเดีย ประมาณนั้น) เป็นโบราณวัตถุของกษัตริย์ Croesus ซึ่งเคยปกครองอาณาจักรลีเดียเมื่อประมาณ 560-547 ก่อนคริสตกาล
เรื่องราวนั้น เริ่มต้นเมื่อปี 1965 ซึ่งมีชาวบ้าน 5 คนพบหลุมศพเจ้าชายนิรนามที่เคยมีชีวิตอยู่ยุคอาณาจักรลีเดีย และด้วยความโลภ ชาวบ้านทั้ง 5 จึงค่อยๆ แอบขโมยสิ่งของมีค่าต่างๆ ออกมา จนกระทั่งปีถัดมา พวกเค้าได้ขโมยของมีค่าไม่ว่าจะเป็นเพชร ทอง เครื่องประดับ รุปวาดที่กำแพง รวมถึงชิ้นส่วนโบราณวัตถุอีกประมาณ 150 กว่าชิ้น ออกมาขายเพื่อหวังที่จะได้เงิน
แต่เมื่อพวกเค้าขายไปแล้ว คำสาปก็เริ่มออกฤทธิ์ ครอบครัวแต่ละคน เริ่มตกอับ ความโชคร้ายต่างๆเข้ามาเยือนมากมาย และทั้งหมดก็เสียชีวิตไปในที่สุด และด้วยเหตุนี้เอง จึงมีคนลือว่าเป็นเพราะคำสาปขุมทรัพย์ของกษัตริย์ Croesus
ชาวเมาลีนั้น เป็นกลุ่มของชาวโพลีนีเชี่ยน ซึ่งเป็นชนพื้นเมืองในประเทศนิวซีแลนด์ โดยอพยพมาที่ประเทศนี้เมื่อประมาณ ปี 800 - 1350 โดยอาศัยเรือแคนนูมากันเป็นกลุ่มประมาณ 100 คน และเมื่อพวกเค้ามาถึงดินแดนใหม่(นิวซีแลนด์นั่นแหละ) ก็ได้จัดตั้งสังคมใหม่ รวมถึงชื่อที่เรียกแทนกลุ่มพวกเค้าด้วย โดยใช้ชื่อว่า เมาลี ซึ่งแปลว่า มนุษย์ นั่นเอง
ชาวเมาลีนั้น เป็นชาตินักรบ ก่อนที่จะออกศึกแต่ละครั้ง พวกเค้าจะแกะสลักหน้ากากและรูปปั้นทิ้งไว้ เพื่อว่า หากพวกเค้าเสียชีวิตในสนามรบ เค้าจะได้มาอาศัยอยู่ที่รูปปั้นหรือหน้ากากนั่นเอง แต่ว่า คำสาปของหน้ากากนี้ กล่าวไว้ว่า จะนำความชั่วร้ายต่างๆ มาสู่ผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือมีประจำเดือน
ในปัจจุบันก็ยังไม่มีใครยืนยันเรื่องราวคำสาป นี้ว่าจริงหรือไม่ แต่ที่พิพิธภัณฑ์ที่นิวซีแลนด์นั้น ตรงส่วนจัดแสดงโชว์โบราณวัตถุของชนเผ่าเมาลีนั้น ได้มีการติดป้ายเตือนผู้หญิงที่ตั้งครรภ์หรือมีประจำเดือนว่าห้ามเข้าตรง ส่วนนี้ด้วย (ป้องกันไว้ก็ไม่เสียหายนี่เนอะ)
อันดับที่ 6: คำสาปโขดหินอุลุรู
โขดหินอุลุรู ตั้งอยู่ตอนกลางของออสเตรเลีย รู้จักกันในอีกชื่อหนึ่งว่า "หินแอร์ส" ส่วนคำสาปของที่นี่ กล่าวไว้ว่า หากใครนำก้อนหินจากบริเวณนี้ไปจะต้องพบแต่ความเจ็บป่วยและโชคร้ายจนกว่าจะนำก้อนหินมาคืนเมื่อตำนานกล่าวไว้แบบนี้ ก็มีคนที่ไม่เชื่อได้มาลองของกันโดยนำก้อนหินกลับไป สุดท้าย คนเหล่านี้ก็ต้องส่งก้อนหินกลับมาทุกรายให้เจ้าหน้าที่นำกลับไปไว้ที่เดิม เพื่อแก้คำสาปที่ตัวเองได้ท้าทายไว้
เพชรโฮป ปรากฏตัวเป็นลายลักษณ์อักษรครั้งแรกในปี 1660 (บางเอกสารกล่าวว่าปี 1661) ว่ากันว่า เพชรโฮปมาจากดวงตาของเทวรูปในวัดริมแม่น้ำโคเลอรูน (Coleroon) ในอินเดีย เพชรหนัก 112 กะรัต(22.44 กรัม) เม็ดนี้ ถูกขุดพบในเหมืองคอลเลอร์ (Kollur mine) ในกอลคอนดา เป็นเพชรที่หายากและมีสีน้ำเงินเหมือนสีไพลินเข้ม ชอง-แบปตีส ตาแวร์นีเย (Jean-Baptist Tavernier) พ่อค้าเพชรชื่อดังชาวฝรั่งเศส ซึ่งซื้อเพชรนี้มาและลักลอบนำเข้าไปยังกรุงปารีสใน ค.ศ. 1668
ในปีเดียวกัน พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 ซื้อเพชรจากตาแวร์นีเย ด้วยราคา 3,000,000 เพชรถูกเจียระไนเป็นรูปหยดน้ำรูปทรงสามเหลี่ยมหนัก 67.5 กะรัต โดยนายเปเตออง (Petean) และเป็นที่รู้จักในนาม "เพ ชรตาแวร์นี...ีฟ้า" (The Tavernier Blue), เพชรสีน้ำเงินฝรั่งเศส (The French blue) หรือเพชรสีน้ำเงินแห่งมงกุฎ (The Blue Diamond of the Crown) เพื่อใช้ติดกับเสื้อคลุมในงานพิธี พระเจ้าหลุยส์ที่ 14 พระราชทานนามใหม่ให้กับเพชรว่า French Blue
ตำนานกล่าวว่าพระเจ้าหลุยส์ที่ 14 มีโอกาสใส่เพชรนี้เพียงครั้งเดียวก่อนจะป่วยตายด้วยโรคระบาด คนรักของพระองค์ที่ได้รับเพชรเม็ดนี้เป็นของขวัญก็ถูกขับออกจากราชสำนักใน ภายหลังเนื่องจากวางแผนจะวางยาพิษราชินี ต่อมามีกลุ่มหัวขโมยบุกเข้าปล้นเพชรจากราชวังที่ปิดตายอยู่ ในระหว่างนี้ เพชรถูกตัดให้เล็กลงอีกเพื่อกลบเกลื่อนร่องรอยที่มาจนเหลือขนาด 44.50 กะรัต และถูกขายให้กับ เอเรียสัน ช่าง เจียระไนเพชรในอัมสเตอร์ดัมส์ ซึ่งลูกชายของช่างที่ขโมยออกมาขายก็เกิดคลุ้มคลั่งจนฆ่าตัวตายไป ส่วนเอเรียสันนั้นถูกกล่าวว่าตกม้าตายหลังจากซื้อเพชรมาไว้ในครอบครอง เพชรได้เปลี่ยนมือไปเรื่อยๆจนมาถึง เอดนา วินสตัน ซึ่งประสบชะตากรรมหย่ากับผัว ลูกสาวตาย และในที่สุด เธอก็ได้บริจาคเพชรเม็ดนี้ให้สถาบันสมิทโซเนียน ในกรุงวอชิงตัน
ชาวอารยธรรมโบราณที่มีชื่อเสียงเรื่องคำสาปได้ ครองอันดับ 1 ตามความคาดหมาย และฟาโรห์ที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับเรื่องนี้คงไม่พ้น ฟาโรห์ ตุตันคาเมน อย่างแน่นอน ส่วนเรื่องราวของคำสาปฟาโรห์มีที่มาดังนี้คับ
ในปี 1922 ลอร์ด คาร์นาร์วอน ได้ว่าจ้างคณะสำรวจของนายโฮเวิร์ด คาร์เตอร์ เข้าไปทำการสำรวจค้นหาสุสานฟาโรห์ตุตันคามุนในหุบผากษัตริย์ เมืองลักซอร์ โดยคาร์เตอร์ใช้เวลาถึง 10 ปี ในการค้นหาสุสาน ในที่สุดพวกเขาก็ค้นพบห้องเก็บพระศพ และโลงพระศพของฟาโรห์ตุตันคามุนที่ทำด้วยทองคำบริสุทธิ์ รวมทั้งทรัพย์สมบัติและเพชรนิลจินดาอีกมากมาย
นักสำรวจทุกคนล้วนตื่นเต้นดีใจกับการค้นพบ ทำให้ละเลยคำสาปที่นักบวชไอยคุปต์บรรจงสลักไว้ภายในสุสานว่า
“ มรณะจักโบยบินมาสังหารสู่ผู้บังอาจรังควานสันติสุขแห่งพระองค์ฟาโรห์ ”
ข้อความที่ขลังและเปี่ยมด้วยอาถรรพ์นี้ ก่อให่เกิดการตายอย่างน่าพิศวง ซึ่งเป็นที่เล่าลือกันว่าเกิดจากคำสาปแช่งขององค์ฟาโรห์ ลอร์ด คาร์นาร์วอนเสียชีวิตอย่างกะทันหันภายในห้องพักของโรงแรมในกรุงไคโร ประเทศอียิปต์ สาเหตุการตายเนื่องจากถูกยุงกัด ทำให้เป็นนิวมอเนีย แต่ที่น่าประหลาดอย่างยิ่งก็คือ ที่มัมมี่ของฟาโรห์ตุตันคามุนก็มีรอยยุงกัดที่แก้มซ้าย ซึ่งเป็นจุดเดียวกับที่ลอร์ดคาร์นาร์วอนถูกยุงกัดเช่นกัน
ภายในเวลา 6 ปีที่มีการขุดสุสานฟาโรห์ตุตันคาเมน ผู้ที่ได้ร่วมขุดค้นล้มตายไปถึง 12 คน โดยส่วนใหญ่มีอาการเหนื่อยอ่อนและเสียชีวิตไปเฉยๆโดยที่แพทย์ไม่สามารถ วินิจฉัยอาการได้ และภายในระยะเวลา 7 ปี มีผู้ที่ร่วมในการขุดสุสานฟาโรห์ตุตันคามุนรอดชีวิตอยู่เพียง 2 คนเท่านั้น นอกจากนี้ยังมีบุคคลใกล้ชิดของผู้ที่ร่วมขุดสุสานจำนวนถึง 22 คน ได้ถึงแก่กรรมไปทั้งที่ยังไม่สมควรแก่เวลา และหนึ่งในจำนวนนั้นก็คือ เลดี้คาร์นาร์วอน ภรรยาของลอร์ด คาร์นาร์วอนที่ฆ่าตัวตายเนื่องจากเกิดอาการเสียสติ
ที่มา : http://www.soccersuck.com/soccer/viewtopic.php?t=684408