การลงโทษหรือล่าแม่มดมีมานานแล้ว แต่ที่โด่งดังมากๆ คือ การล่าแม่มดซึ่งเกิดขึ้นในช่วงยุคกลางในประเทศทั้งแถบยุโรปและอเมริกา โดยกินเวลายาวนานตั้งแต่ช่วงศตวรรษที่ 15 ถึงศตวรรษที่ 17 ทำให้ผู้บริสุทธิ์ต้องตายไปเป็นจำนวนมาก เราได้รวบรวมเอาเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยเกี่ยวกับวิธีการทดสอบแม่มดและพ่อมดในยุคกลาง ซึ่งออกจะไร้ซึ่งเหตุผล และถ้าเอามาใช้ในทุกวันนี้ พวกเราทุกคนคงต้องเป็นแม่มดกันหมดอย่างแน่นอน
เริ่มจากการหาผู้ที่เข้าข่ายว่าอาจจะเป็นแม่มด วิธีการตรวจสอบ คือ
ดูจากรอยตำหนิบนร่างกาย เช่น ถ้ามีไฝ ปาน หรือตำหนิอื่นๆ บนผิวหนังที่ติดตัวมาแต่เกิด ก็จะถือว่าเป็น “รอยตำหนิของปีศาจ” (diabolical mark) แต่บางคนถึงไม่มีรอยพวกนี้ ผู้สำรวจก็อาจจะบอกว่า มีรอยตำหนิที่มองไม่เห็นอยู่ (invisible mark) และถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มดอยู่ดี
ถูกกล่าวหาโดยแม่มดคนอื่น กรณีนี้เกิดขึ้นบ่อยมาก เพราะถ้าโดนจับในข้อหาเป็นแม่มดแล้วยอมบอกชื่อแม่มดคนอื่นๆ อีก โทษที่ได้รับก็จะเบาลง แต่ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกประหาร เบาลงที่ว่าหมายความว่า แทนที่จะถูกเผาทั้งเป็น ก็อาจจะถูกรัดคอจนตายก่อนแล้วค่อยเผา ทรมานน้อยลงอีกนิดหน่อย
พูดไม่ดีเกี่ยวกับศาสนา หรือแสดงความไม่นับถือ อะไรก็ตามเป็นการลบหลู่ศาสนา ถึงจะแอบๆ พูดกันเองแต่สมัยนั้นชาวบ้านส่วนใหญ่พร้อมจะเอาเรื่องของคนที่น่าสงสัยไปฟ้องโบสถ์อยู่แล้ว เกิดมีคนได้ยินขึ้นมาแล้วเอาไปฟ้องทางโบสถ์ จะถือว่าเป็นพวกบูชาปีศาจ เป็นแม่มด และถูกจับเผาทั้งเป็นอีกเช่นกัน
ทำให้เกิดอันตรายต่อผู้อื่นด้วยเวทมนต์ ซึ่งเวทมนต์ที่ว่านี้ก็ไม่มีวิธีพิสูจน์ได้อยู่ดี แต่จะดูเอาจากว่า เกิดสิ่งผิดปกติขึ้นกับผู้คนหรือธรรมชาติที่อยู่รอบๆ ตัวของผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่ เช่น ถ้าอยู่ดีๆ วันหนึ่งเพื่อนข้างบ้่านเกิดผื่นขึ้น หรือพายุลูกเห็บตกในหมู่บ้าน หรือว่าวัวตายยกคอก ก็สรุปได้แล้วว่า มีการใช้เวทมนต์แน่ๆ ก็ต้องควานหาเหยื่อมารับผิดเป็นแม่มด แล้วนำไปเผาทั้งเป็น
มีรูปลักษณ์ภายนอกที่ต่างจากคนอื่น เช่น หน้่าตาน่าเกลียดเกินไป สวยเกินไป (สวยเกินก็โดนอีก) จมูกใหญ่ไป ฟันยื่นเกินไป แก่เกินไป อะไรก็ได้ที่ต่างจากคนอื่น ก็อาจจะทำให้ตกเป็นผู้ต้องสงสัยว่าเป็นแม่มดได้
คนที่มีความสามารถด้านการแพทย์ การรักษา หรือมีความรู้ด้่านสมุนไพร มักถูกกล่าวหาว่าเป็นแม่มด ถึงแม้จะใช้ความสามารถนี้ในการช่วยเหลือสังคม แต่ก็จะถูกหาว่าใช้เวทมนต์อยู่ดี
มีคนกล่าวหาว่าเรามีพฤติกรรมต่างๆ แบบแม่มด หรือแค่ฝันเห็นว่าทำพฤติกรรมของแม่มด ก็อาจจะโดนเอาตัวไปตรวจสอบได้โดยไม่ต้องมีหลักฐานอย่างอื่นเลย มีคนถูกกล่าวหาด้วยเหตุผลนี้เยอะอีกเช่นกัน ส่วนมากเกิดจากที่ไปมีความขัดแย้งส่วนตัวกับคนอื่น หรือไม่ก็อยู่เฉยๆ แต่มีคนอยากได้ทรัพย์สินของเรา ก็จะใช้คำอ้างนี้ไปฟ้องกับทางโบสถ์ และผู้ถูกกล่าวหาก็จะถูกนำตัวไปสอบสวน ถึงถ้าไปถึงขั้นนั้นแล้ว ส่วนมากก็จะถูกสรุปว่าเป็นแม่มดอยู่ดี