ความเป็นคนวัดด้วยอะไร
ทำให้ได้เป็นการฝึกตัวเองอย่างหลากหลายเรื่องราวที่ประดังประเดเข้ามา ความทุกข์ การจากพราก การร่วมยินดีกับการสร้างครอบครัวใหม่ของเพื่อนหลายคน หนักอีกครั้ง
และทบทวนกับคำว่า มีสุขแล้วก็ทุกข์ มีทุกข์แล้วก็กลับมาสุขได้ ไม่ได้มีอะไรยั่งยืนถาวร การจากพรากก็เป็นสิ่งแท้แน่นอนสุดของชีวิต ไม่จากเป็นก็จากตาย แต่ด้วยจิตที่ยังอ่อนด้อย ความอ่อนไหวและการปรับสภาพจิตใจ เพื่อให้ยอมรับกับสิ่งที่เกิดขึ้น ย่อมใช้เวลาเป็นธรรมดา
เพราะการนึกทบทวน และย้อนไปถึงสิ่งที่ผ่านมาในอดีต ทำให้ฉันนึกถึงภาพดอกหญ้าริมทะเลที่เคยถ่ายไว้ ช่วงหนึ่งฉันสนใจกับการถ่ายภาพดอกหญ้า จนถึงขนาดต้องไปซื้อหนังสือรวมภาพพืชในตระกูลหญ้า คงไม่ใช่เรื่องราวของความรักหรือหลงเสน่ห์ให้กับพืชพรรณชนิดนี้ เพราะความรัก ความชอบ ในจิตใจของฉัน บางทีก็บอกไม่ได้ว่ามีให้กับอะไรบ้าง ฉันรู้สึกเพียงแค่เมื่ออยากรู้จักอะไรแล้วก็ควรต้องรู้จักให้ได้มากที่สุด
ดอกหญ้าที่ดูไร้ประโยชน์และไร้ค่า แต่อย่างไรเสียก็เป็นพืชชนิดหนึ่งที่อุบัติขึ้นมาเป็นส่วนหนึ่งอยู่ในโลก มนุษย์ ฉันคิดไปเรื่อยเปื่อยอีกว่า...ดอกหญ้ามักถูกนำไปเปรียบเทียบกับคนต่ำค่า แล้วเป็นเช่นนั้นจริงๆ หรือ คงมีบ้างละมั้ง เรื่องการแบ่งแยก “คน” ด้วยกัน ออกจาก “คน” อีกกลุ่มหนึ่ง ก็ฉันเองยังเคยถูกขีดเส้นแบ่งเหมือนกัน ...ฉันนึกได้ถึงเรื่องราวหนึ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่ที่ฉันเขียนออกมานี่ด้วยความนิ่งที่สุด ปราศจากความรู้สึกใด เพียงแค่ตั้งเป็นข้อสงสัยขึ้นมาว่า คนนั้น...มีอะไรมาวัดกันได้ด้วยหรือ
บางคนเกิดมาด้วยฐานะสูงมากมายกว่าคนอื่น ทั้งทรัพย์สิน โอกาสทางการศึกษา ได้รับการเลี้ยงดูภายใต้สังคมที่บ่งบอกกันว่า “นี่แหละชั้นสูง” ทำให้คนหลายคนนี้ แตกต่างจากคนอีกหลายคน ที่หากไม่ตีค่าแบ่งแยกชั้นว่า ชนชั้นกลางบ้าง ก็ชนชั้นต่ำบ้าง แต่ความต่างกันนี้ ก็ไม่ใช่มาตรฐานที่จะไปวัดหรือตัดสินใครได้ คนที่ได้รับการเลี้ยงดูมาภายใต้ความเชื่อว่า นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดแล้ว ต้องเป็นไปตามนี้ หนึ่ง สอง สาม คนที่ทำตามนี้ได้จึงได้รับการยอมรับจากสังคม ...เอ แล้วใช่หรือไม่นะที่คนเราจะต้องเป็นไปตามขั้น หนึ่ง สอง สาม ฉันคิดเรื่อยเปื่อยพอๆ กับตอบตัวเองไปอย่างเรื่อยเปื่อย
การทะเลาะเบาะแว้งกันในสังคม ความรุนแรงจากอารมณ์รัก หรือความโกรธ ไม่ได้ถูกบ่งบอกออกมาชัดเจนว่า เพราะเขาคนนั้นคือเพศชาย เธอคือเพศหญิง หรือแม้แต่กลุ่มของเพศที่สาม จึงเกิดเป็นความรุนแรงที่มากกว่าใคร แต่โอกาสเกิดแห่งความรุนแรงนั้น ฉันว่าเป็นเพราะด้วยจิตใจที่ขาดการฝึก และกล่อมเกลาต่างหาก ไม่ใช่เรื่องเพศ อายุ การศึกษา ฐานะมีหรือจน ใครก็ได้ที่ปล่อยให้อารมณ์เหนือกว่าการกระทำแล้วยิ่งประกอบไปด้วยฝึกฝนจิตใจ มาน้อย คนกล่อมเกลาก็ไม่ค่อยมี อย่างที่บอกแล้วนั้น เหตุร้าย เหตุเศร้า ที่เต็มไปด้วยความรุนแรงย่อมเกิดขึ้นได้เสมอ
คงมีหลายคนที่เคยประสบเหมือนๆ กัน คือกลายเป็นคนเลว คนไม่ดี ด้วยคำพูดของคนอื่น ฉันจึงอยากเป็นกำลังใจให้ว่าอย่าเพิ่งท้อถอยในสิ่งที่ตัวเองมั่นใจอยู่แล้ว ว่าได้ทำดี มีความปรารถนาดี ไม่ได้จ้องจะทำร้ายใคร ต่อให้น้ำลายของคนอื่นที่พ่นถล่มออกมา สุดท้ายก็ถูกแสงอาทิตย์ทำลายเชื้อให้หมดไปเองได้ ส่วนคนที่มีชีวิตอยู่ด้วยการหลงเชื่อคำพูดของคนอื่นมากกว่าจะพิจารณาจาก เรื่องจริงที่เกิดขึ้น หากไม่ลองเปลี่ยนแนวความคิดเสียใหม่ หรือจะมีชีวิตอยู่อย่างเดิมๆ ก็ตามแต่ เพราะคงไม่มีใครอยู่กับใครไปได้จนชั่วกัลปาวสาน คนทุกคนก็ต้องเหลือตัวคนเดียวเป็นสุดท้ายทั้งนั้น ส่วนใครที่รู้สึกเศร้าผิดหวังที่ถูกคนอื่นมองในแง่ร้าย ที่เป็นผลมาจากคนคนนั้น
เชื่อ “น้ำลาย” ที่ถล่มออกมามากกว่า ฉันยิ่งเห็นว่า ไม่ควรจะสนใจ ดีเสียอีกที่จะได้ลดจำนวนผู้คนที่อยู่ใกล้ชิดตัวลงไปอีก เพราะมากคนก็มากความ อยู่แบบใส่ใจกับคนที่รักเราและคนที่เรารัก ในจำนวนพอดีๆ นี่แหละ ฉันมองว่าไม่ต้องปวดหัวดี ขณะเดียวกันความเมตตาและเอื้ออารีต่างหากที่ควรมีให้ทุกผู้ทุกคน เท่านี้ก็คงเป็น “คนชั้นฉันเป็นฉันเอง” อย่างที่ไม่ได้สมบูรณ์น้อยกว่าใคร