นักวิทยาศาสตร์จีน พัฒนาวัตถุที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลก ซึ่งเรียกว่า "คาร์บอน แอโรเจล" หวังนำไปต่อยอดทำเป็นวัตถุดิบป้องกันมลภาวะสิ่งแวดล้อม
ก้อนวัตถุสีดำบนยอดกิ่งไม้ ที่นักวิทยาศาสตร์ถืออยู่นี้ มีชื่อว่า "คาร์บอน แอโรเจล" ซึ่งมีความหนาแน่นเพียง 0.16 มิลลิกรัมต่อลูกบาศก์เซนติเมตร และได้รับการขนานนามให้เป็นวัตถุที่มีน้ำหนักเบาที่สุดในโลกยุคปัจจุบัน
หากนึกไม่ออกว่า คาร์บอน แอโรเจล มีความบางเบามากแค่ไหน ศาสตราจารย์เกา เชา นักวิจัยมหาวิทยาลัยเจ้อเจียง ของจีน ซึ่งเป็นหัวหน้าทีมพัฒนาวัตถุชนิดนี้ขึ้นมา เปรียบเทียบให้ฟังว่า คาร์บอน แอโรเจล มีน้ำหนักเบากว่าอากาศที่ระดับน้ำทะเล หรือคิดเป็นความหนาแน่นเพียง 1 ใน 6 ของอากาศในบริเวณดังกล่าว
ศาสตราจารย์เกา ระบุว่า คาร์บอน แอโรเจล มีคุณสมบัติพิเศษ 3 ประการ คือ หนึ่ง มันมีน้ำหนักเบามากตามที่ได้กล่าวไปแล้ว ส่วนข้อที่ 2 คือ ความยืดหยุ่น เนื่องจากวัตถุชนิดนี้ สามารถหดตัวได้ถึงร้อยละ 80 และกลับคืนสู่สภาพเดิมได้ตามปกติ นอกจากนี้ มันยังสามารถบีบรัดให้เหลือเพียงเศษ 1 ส่วนพันของขนาดปกติได้อีกด้วย
คุณสมบัติพิเศษข้อสุดท้าย คือ ความสามารถดูดซับน้ำมันได้อย่างดีเยี่ยม ด้วยปริมาณการดูดซับสูงถึง 200 - 900 เท่าของน้ำหนักตัวมันเอง ขณะเดียวกัน คาร์บอน แอโรเจล ก้อนเดียว ยังสามารถนำมาใช้ดูดซับน้ำมันได้ซ้ำแล้วซ้ำอีกหลายครั้ง ด้วยคุณสมบัติพิเศษนี้ ทำให้นักวิทยาศาสตร์หวังพัฒนา คาร์บอน แอโรเจล มาใช้เป็นเครื่องมือแก้ไขปัญหาน้ำมันรั่วไหลในอนาคต
นอกจากคุณสมบัติพิเศษทั้ง 3 ข้อแล้ว ความสามารถในการยืดหยุ่น และเป็นตัวนำไฟฟ้าที่ดี ยังทำให้ คาร์บอน แอโรเจล มีลักษณะอเนกประสงค์ หรือถึงขั้นเรียกได้ว่าเป็น"วัตถุมหัศจรรย์" เลยก็ว่าได้
ศาสตราจารย์เกา กล่าวว่า วัตถุชนิดนี้สามารถใช้ผลิตเครื่องบินที่มีน้ำหนักเบา แต่แข็งแรงทนทาน รวมถึงใช้ทำแท็บเล็ต และแลบท็อป ตลอดจนอุปกรณ์การแพทย์ขนาดนาโน เพื่อใช้นำพายาต้านมะเร็งเข้าสู่ร่างกาย และเนื่องจาก คาร์บอน แอโรเจล สามารถผลิตได้ง่าย ทำให้เขามั่นใจว่า วัตถุชนิดนี้จะได้รับการยอมรับ และถูกนำมาใช้อย่างแพร่หลายในอนาคต
สำหรับวัตถุที่เรียกว่า แอโรเจล ได้รับการพัฒนาขึ้นครั้งแรกจากสารซิลิคอน ไดออกไซด์ เมื่อปี พ.ศ. 2474 และได้รับการรับรองจากกินเนส เวิลด์ เรคคอร์ด ให้เป็นวัตถุที่มีน้ำหนักเบาที่สุดเท่าที่เคยมีการจดบันทึก แต่แอโรเจล ในรูปแบบที่นักวิทยาศาสตร์จีนพัฒนาล่าสุด ทำจากเส้นใยคาร์บอน ที่เบากว่า และอาจต้องใช้เวลาอีกหลายปี กว่าจะสามารถนำมาใช้ผลิตเป็นอุปกรณ์ ซึ่งสามารถใช้งานจริงนอกห้องทดลองได้