โลกของเราผ่านประวัติศาสตร์และเหตุการณ์สำคัญมากมาย และหลายเหตุการณ์นั้นมีเบื้องหลังคนกินคนเนื้อคน ซึ่งแต่ละเหตุการณ์มีหลายสาเหตุที่คนเรากินเนื้อพวกเดียวกัน ทั้งด้วยความจำเป็นและความโหดร้าย และนี้คือสิบรายการเรื่องจริงของคนกินคนในประวัติศาสตร์ที่น่ากลัว
คณะเดินทางของดอนเนอร์ เป็นกลุ่มคนจำนวน 87 คนผู้บุกเบิกชาวอเมริกัน ระหว่างการเดินทางด้วยขบวนเกวียนของพวกเขาเพื่อข้ามเทือกเขาเนวาด้า ไปยังแคลิฟอร์เนีย ประมาณปี 1846 พวกเขาติดอยู่หิมะ อีกทั้งเสบียงอาหารและข้าวของจำเป็นในการดำรงชีวิตได้หมดลง พวกเขาเดินทางอย่างสิ้นหวังและหิวโหยอย่างแรง ในที่สุดพวกเขาก็กินเนื้อพรรคพวกที่ตายแล้วจึงสามารถรอดมาได้ (เริ่มกินเนื้อพวกเดียวกันเมื่อวันที่ 20 พฤศจิกายน 1846 - 1 มีนาคม 1847) ทำให้คนทีเหลือเพียง 48 คนไปถึงหมาย เมื่อได้รับการช่วยเหลือก็ได้สารภาพว่าได้กินเนื้อคนเพื่อประทังชีวิต ส่งผลให้พวกเขาถูกกักพื้นที่ระยะหนึ่ง ก่อนที่จะออกสู่สังคมอีกครั้ง
กรณี Regina v. Dudley and Stephens น่าจะเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ยังคงต้องคำถามจริยธรรมและการชีวิตรอดได้เป็นอย่างดี เรื่องราวของพวกเขายังคงเป็นกรณีศึกษาถึงกฎหมายฆ่าเพราะจำเป็น
เรื่องราวเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 1884 เรือยอชต์ลำหนึ่งชื่อ Mignoette ได้ประสบอุบัติเหตุเรือล่มระหว่างทาง (เซาแธมป์ตันไปยังซิดนีย์) ลูกเรือทั้ง 4 คน ประกอบไปด้วยกัปตันทอม ดัดลีย์, เอ็ดเวิร์ด สตีเฟนส์, เอ็ดมันด์ บุคส์ และเด็กหนุ่มอายุ 17 ปีชื่อริชาร์ด ปาร์คเกอร์ได้สละเรือและลงเรือชูชีพได้ทัน และระหว่างที่เรือลอยไปอย่างไม่มีจุดมุ่งหมายอาหารก็หมดลง จนไม่มีอาหารและน้ำ ลูกเรือทั้ง 4 คนก็เริ่มหมดหวังและหิวโหย (ใช้ชีวิตบนเรือชูชีพนานกว่า 20 วัน) เพื่อความอยู่รอดและความจำเป็น ดัดลีย์และสตีเฟนส์ได้เสนอว่าเราควรสละคนใดคนหนึ่งเพื่อให้คนส่วนใหญ่รอด และพวกเขาก็เลือกปาร์คเกอร์ที่ตอนนั้นป่วยจนอาการโคม่าเพราะดื่มน้ำทะเลเข้าไปเป็นจำนวนมาก พวกเขาก็ฆ่าปาร์คเกอร์และกินเขา ทำให้รอดชีวิตมาได้ และเมื่อพวกเขาได้รับการช่วยเหลือ พวกเขาก็ได้บอกว่ายอมรับที่เขาฆ่ามันเป็นเรื่องที่จำเป็นต้องทำ ไม่งั้นพวกเขาจะตายหมด หากแต่แล้วเมื่อเรือขึ้นฝั่งพวกเขาก็โดนลงโทษ ดัดลีย์และสตีเฟ่นถูกประหารชีวิตในข้อหาฆาตกรรม (บุคส์ไม่มีส่วนร่วมในการฆ่า) แต่ภายหลังทั้งสองลดโทษเหลือจำคุกเพียง 6 เดือน
สงครามครูเสด เป็นสงครามทางศาสนา โดยมีเป้าหมายคือเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นนครศักดิ์สิทธิ์และสัญลักษณ์ทางศาสนาหลักทั้งสาม (ศาสนายูดาย คริสต์ และอิสลาม) ซึ่งเป็นสงครามยาวนาน เกิดขึ้นหลายครั้ง มีเหตุการณ์สำคัญต่างๆ มากมาย ไปจนถึงเหตุการณ์ที่จำเป็นที่ต้องกินเนื้อคน ในสงครามครูเสดครั้งแรกเมื่อ 1095-1099 ทัพครูเสดที่ยกทัพไปเมือง Antioch ซึ่งต้องเดินทางเป็นระยะทางที่ไกล พวกไพร่พลจึงล้มตายกลางทางเสียเป็นส่วนใหญ่ อีกทั้งต้องล้อมเมือง Antioch นาน 9 เดือน จนเสบียงเริ่มร่อยหรอลง ทำให้ต้องกินเนื้อศพพวกเดียวกัน หลังจากทัพครูเสดยึดเมือง Antioch ได้แล้วก็เดินทางไปยัง Marra Tun Muman เมืองในซีเรีย ที่นั้นชาวเมืองถูกฆ่าไม่ต่ำกว่า 100,000 คน และนำศพไปสับเป็นท่อนๆ นำเนื้อไปขายในกองทัพ กล่าวกันว่าพวกเขาฆ่าคนโหด***มและมีพฤติกรรมแบบนี้ก็เพราะพวกนี้ถือว่าการรบและฆ่าพวกนอกศาสนาจะได้บุญและได้ขึ้นสวรรค์
ราชวงศ์ถัง (ค.ศ.618-907) ราชวงศ์นี้สร้างความเจริญรุ่งเรืองให้จีนอย่างมาก ทั้งด้านศิลปกรรม วัฒนธรรม และอีกหลายอย่าง แต่อย่างไรก็ตามราชวงศ์นี้ก็มีความดำมืดซุกซ่อนอยู่เหมือนกัน นั่นคือการกินเพื่อแก้แค้น กล่าวกันว่าในช่วงต้นราชวงศ์จะมีกองทัพกบฏที่บุกในเมืองใกล้เคียงเพื่อหาเหยื่อ เช่นเดียวกับทหารและพลเรือนปิดล้อมในระหว่างการจลาจลของกบฏ ได้กินหัวใจของศัตรูและตับเพื่อเป็นการแก้แค้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการกินเนื้อคนเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกถึงความเกลียดชังที่มีต่อศัตรู
หนึ่งในเหตุการณ์ประวัติศาสตร์ที่น่าขนลุกขนพองที่สุดในประวัติศาสตร์สงครามโลกครั้งที่ 2 น่าจะมีเรื่องยุทธการปิดล้อมเลนินกราดเป็นที่แน่นอน โดยในระหว่างวันที่ 8 กันยายน 1941 - 27 มกราคม 1944 เมื่อกองทัพนาซีทำการปิดล้อมเมืองเลนินกราด พลเมืองในเลนินกราดก็ได้สร้างกำแพงเพื่อไม่ให้กองทัพนาซีเข้ามาในเมือง จนกลายเป็นการปิดล้อมเมืองไปโดยปริยาย ชาวเมืองเลนินกราดต้องอยู่โดยที่ขาดแคลนอาหาร น้ำตื่ม พลเมืองมากกว่าหนึ่งล้านคนต้องอดตายในช่วงเวลานั้น เป็นเหตุทำให้คนหลายคนต้องกินเนื้อพวกเดียวกันเพื่อมีชีวิตรอด ด้วยการฆ่ากันเอง จนกลายเป็นวิถีชีวิตปกติของชาวเมืองในช่วงเวลานั้น ตำรวจเองก็ไม่สามารถควบคุมสถานการณ์ได้ พ่อแม่ของเด็กต้องเตือนเด็กไม่ให้ออกนอกบ้านเพราะเมื่อออกไปเด็กคงตกเป็นเหยื่อ เด็กจะถูกฆ่าและถูกกิน ร่างกายครึ่งหนึ่งที่กินเหยือถูกทิ้งเกลือนถนน
ในขณะที่ประชาชนในโซเวียตถูกบังคับให้กินเนื้อเพื่อนมนุษย์ด้วยกันในเลนินกราด ทหารญี่ปุ่นในสงครามโลกครั้งที่สองก็กำลังทำในหลักเดียวกัน เพียงแต่มีความแตกต่างกันตรงที่พวกเขาไม่ได้ทำเพื่อความหิวเพียงอย่างเดียว
ผู้บังคับบัญชาสูงสุดจะสั่งลูกน้อง ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อ (ส่วนมากเป็นเชลยสงคราม) จะถูกฆ่าตายอย่างเลือดเย็นและร่างกายของพวกเขาจะถูกนำมาทำเป็นอาหารเพื่อเอามากิน (ปกติเหลือเพียงมือและเท้าของเหยื่อเท่านั้นที่ไม่ถูกแตะต้อง) แต่ไม่ใช่เสมอไปเพราะมีอะไรน่ากลัวกว่านั้น บางเหยื่อเคราะห์ร้ายถูกเฉือนเนื้อจากแขนและขาของพวกเขาในขณะที่พวกเขายังมีชีวิตอยู่ หลังจากนั้นพวกเขาก็โยนลงไปในหลุมตายอย่างช้าๆ ซึ่งเหตุการณ์เหล่านี้ไม่ได้เกิดเฉพาะช่วงที่ญี่ปุ่นหิวโหยจากการถูกปิดล้อมเท่านั้น ยังรวมไปถึงการที่ญี่ปุ่นควบคุมเชลยจำนวนมากในช่วงยึดครองเอเชียด้วย