เมื่อ "ลอนดอน" ฝนตกไม่ทั่วฟ้า !!!!!!

กรุงลอนดอน... เมืองหลวงศิวิไลซ์รายล้อม... ค่อนข้างคึกคักเป็นพิเศษในช่วงสุดสัปดาห์

สองเกมแห่งชีวิต... เกิดขึ้นคงละฟากฝั่ง... เกมหนึ่งคือการเดิมพันระหว่างแชมป์ กับอันดับที่ 4... และอีกเกม เดิมพันด้วยถ้วยรางวัลที่เวมบลีย์

ความน่าสนใจระหว่างเชลซีและแมนเชสเตอร์ ซิตี้ มีอยู่พอสมควร... ชนวนถูกจุดตั้งแต่เริ่มเกมเมื่อเวย์น บริดจ์ ชักมือหลบจอห์น เทอร์รี่ก่อนเสียงนกหวีดจะดังผ่านปากท้าวมาลีวราช

เลือดรักเพื่อนเข้าตา.. เหล่านักเตะซิตี้ต้องการแก้แค้นแทนเพื่อน อย่างน้อยก็ด้วยผลงานในสนาม... หากแต่ศักยภาพในตัวเกมเป็นรอง เจ้าถิ่นเลยเป็นฝ่ายครองเกมไล่บดอยู่ตามระเบียบ

แดนกลางสามคนที่โรแบร์โต้ มันชินี่วางมารับมือแนวรุกเชลซี ... แกเร็ธ แบร์รี่ , พาโบล ซาบาเลต้า และไนเจล เดอ ยอง ... หมดทางป้องกันเกมรุกเชลซี และสุดท้ายก็ต้านทานไม่อยู่... แฟร้งค์ แลมพาร์ด ซัดประตูเบิกร่อง

ณ วินาทีนั้นกองแช่งถอนหายใจรับชะตากรรม... เชื่อแน่ว่าคงเข้าอีหรอบเดิม... สำหรับแฟนยูไนเต็ดที่นั่งลุ้นอยู่ขอบจอ... คงต้องยอมรับสภาพกับ 4 แต้มที่ต้องไล่ตามต่อ

กระนั้นเหมือนฟ้าเปลี่ยนสี... ความผิดพลาดของจอห์น โอบี มิเกล และความขยันไม่ย่อท้อของคาร์ลอส เตเบซ... ทุกอย่างกลับมาเท่ากัน !!!

เสมือนเรื่องเหลือเชื่อ... แต่เรื่องของ "การแพ้ทาง" มีจริงในโลกลูกหนัง เมื่อคาร์โล อันเชล็อตติ วางหมากไปเข้าทางมันชินี่ อีกครั้ง เหมือนครั้งที่กุมบังเหียนมิลาน แล้วเสียท่าให้กับอินเตอร์

4 ลูกที่ซิตี้ไปควักมาจากเดอะ บริดจ์ เป็นการฉวยโอกาสทั้งสิ้น... ขโมยจังหวะจากความผิดพลาดของเบลเล็ตติเพื่อได้จุดโทษและเรียกใบแดงฝั่งตรง ข้าม... หรือการใช้ความเร็วของเคร็ก เบลลามี่ เล่นงานกองหลังเชลซี รวมทั้งลูกสุดท้าย ซึ่งเหล่าสิงห์บลูส์ยอมจำนนแก่ชะตากรรม

การแก้เกมของ "อันเช่" ไร้ผลทั้งหมด... เบลเล็ตติ ที่ลงมาแทนมิเกล ต้องก้มหน้าเดินออกจากสังเวียนทั้งๆที่เหงื่อยังไม่ตกถึงพื้น... นั่นเท่ากับว่าทีมไม่มีมิดฟิลด์ตัวตัดเกมที่น่าเชื่อถือได้ในทีมอีก

แดเนี่ยล สเตอร์ริดจ์ ยังใจร้อนและขาดความเยือกเย็นเกินไป ในเกมระดับสูงเช่นนี้ และซาโลมง กาลู มิอาจสร้างความเปลี่ยนแปลงใดๆในเกมได้

และแน่นอน ไร้ปาฏิหาริย์จากฝั่งเจ้าถิ่นที่จะไล่บี้เพื่อเก็บแต้ม... ดิดิเย่ร์ ดร็อกบา ตาลอยไร้พิษสง แถมอารมณ์พลุ่งพล่านของมิชาเอล บัลลัค ทำให้ทีมเสียเปรียบเข้าไปอีก

ท่ามกลางฉากหม่นๆสีน้ำเงิน... เชลซีพลาดโอกาสอีกครั้งที่จะฉีกหนียูไนเต็ด... ส่วนเวย์น บริดจ์ในอาภรณ์สีขาว เดินกลับบ้านเยี่ยงผู้ชนะ !!

 


 


 


 

 
 
 
 

ฟากฟ้าเหมือนจะอมยิ้มเป็นกำลังใจนิดๆให้กับผองปีศาจ... ที่กำลังลงสนามเพื่อขับเคี่ยวแย่งคาร์ลิ่งคัพ ใบจิ๋วในวันต่อมา...

อย่างที่ทราบกันครับ... ยูไนเต็ดใช้ดาร์เรน เฟล็ตเชอร์เป็นตัวทำลายล้างกองกลางของวิลล่า... ขณะที่ความเร็วของพาร์ค ชี ซอง และอันโตนิโอ วาเลนเซีย สร้างปัญหาให้กับแบ็คสองฝั่งของลูกทีมมาร์ติน โอนีล

90 นาทีที่เวมบลีย์มีอะไรให้พูดถึงมากพอสมควร... ไม่ว่าจะเป็นอิมแพคต์ที่ไมเคิ่ล โอเว่นทำได้อีกครั้งก่อนที่จะโชคร้ายบาดเจ็บออกไป.. แม้เสียงสัญญาณจะเบาเกินไปที่จะทำให้ฟาบิโอ คาเปลโล่ เหลียวหลังมากวักมือเรียกเข้าแคมป์ แต่ 2 ประตูจากสองเกมล่าสุด... น่าจะชี้ให้เห็นว่า สัญาตญาณดาวยิง เซนส์การยืนตำแหน่งของ "เบบี้โกล์" ยังคงมีอยู่

และไม่บ่อยนักที่เราจะได้เห็นดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ และโอเว่นจับคู่กัน... เป็น 40 นาทีที่น่าสนใจเมื่อเราได้เห็นศิลปินจากบัลแกเรีย ดูมั่นใจและผ่อนคลายกว่าตอนที่ยืนเคียงข้างเวย์น รูนี่ย์

เอาเป็นว่าสำหรับแฟนผีแล้ว... อย่าไปคาดหวังอะไรกับ "เบอร์บี้" มากมายดีกว่าครับ... เขาเองก็พยายามทำทุกจังหวะให้ดีที่สุดแล้วเช่นกัน... แม้จะมีหลายจังหวะน่าฟุดฟัดใส่...แต่เขาก็ช่วยทีมต่อเกมรุกได้ในหลายๆจังหวะ และอย่าลืมประตูสำคัญในหลายๆเกมที่เขาทำได้ด้วย

มองไปยังกองกลาง... การขึงเกมของยูไนเต็ดโดยการใช้ความนิ่งของไมเคิ่ล คาร์ริค คอยคายบอลให้ปีกสองฝั่งหรือแบ็กเข้าเติมเกม ยังใช้ได้ผล... ผมยังคิดไม่ตกว่าในเกมที่ยูไนเต็ดจะรับมือมิลานในโอลด์ แทร็ฟฟอร์ดวันที่ 10 มีนาคม... ใครจะยืนคุมแผงมิดฟิลด์แทนเขา... ในเมื่ออันแดร์สันตัวแทน โบกมืออำลาฤดูกาล 2009/2010 ไปเรียบร้อย

บางทีดาร์รอน กิ๊บสัน อาจต้องรับภาระอันยิ่งใหญ่ลงสนามแทน อย่างไม่มีทางเลือกอื่น

สำหรับแผงหลัง... เหล่าเร้ด เดวิลส์ยังต้องรอคอยฟอร์มเดิมๆของเนมานย่า วิดิช... อย่างน้อยหากใจไปอยู่ที่อื่นแล้ว... ก็น่าจะทำหน้าที่จนจบฤดูกาลนี้ให้ดีที่สุด

ขณะที่โทมัส คุสชัค พิสูจน์ตัวเองแล้วว่านิ่งกว่าเบน ฟอสเตอร์ และจะเป็นกำลังเสริมที่ดีในด่านสุดท้ายของยูไนเต็ด ไม่ว่าจะมีหรือไม่มีเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์แล้วก็ตาม

ท้ายสุดอีกครั้ง คงจะไม่เอ่ยนามเวย์น รูนี่ย์ไม่ได้...

"ลูกโขก" อีกครั้ง... และเป็นลูกโหม่งแห่งแชมป์... ลูกโหม่งจากนักเตะที่ยูไนเต็ดไม่สามารถขาดได้ด้วยประการทั้งปวงในตอนนี้

"WR10" เข้าใกล้คำว่าระดับโลกมากขึ้นทุกทีแล้ว... และเขาคือทุกอย่างของโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด

สองค่ำคืนที่ลอนดอนจบลง.. เชลซีต้องเชิดหน้าสู้ต่อไป ส่วนยูไนเต็ด โอกาส "ครั้งแล้วครั้งเล่า" เปิดกว้างขึ้นอีกครั้ง

ไม่ต่ำกว่า 5 ครั้งที่เชลซีชะลอให้ แต่เป็นยูไนเต็ดเองที่พลาดแซงไม่ได้

จำนวนเกมมันก็เริ่มนับถอยหลังไปเรื่อยๆ และเหล่านักเตะปีศาจต้องพึงระลึกไว้เสมอว่า เชลซีคงไม่พลาดบ่อยๆ และอาร์เซน่อลไล่จี้เข้ามาแล้ว

ยูไนเต็ดจำเป็นต้องใช้ถ้วยคาร์ลิ่ง คัพเป็นยาชูกำลัง และเดินหน้าต่อไปอย่างมั่นใจ เน้นในทุกนัดที่เหลือของฤดูกาล
 
 




 

 



10 นัดสุดท้ายเท่านั้นครับ... 10 ก้าวสุดท้ายที่ไม่ว่าใครก็พลาดไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว

ภาพยนตร์เรื่องนี้จะจบอย่างไร... ถ้วยแชมป์จะยังอยู่ที่แมนเชสเตอร์ หรือถูกอัญเชิญลงไปลอนดอน

กรุณาลุ้นกันต่อด้วยจังหวะระทึกใจจนนัดสุดท้ายครับ...
 
 
 
2 มี.ค. 53 เวลา 23:53 3,044 1 90
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...