ปลอกเปลือกชีวิตผู้หญิงกล้าแห่งปี......ลีน่า จังจรรจา (ตอนที่ 3)
ตอนที่ 3
กัดก้อนเกลือกิน
ทุกๆก้าวย่าง ทุกๆช่วงจังหวะของชีวิต หากมีความรักเป็นตัวนำพาต่อให้ต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆหนักหนาสาหัสขนาดไหนใจ ก็ยังมีเรียวมีแรงที่จะก้าวเดินต่อไปอย่างไม่ยอมแพ้กับสิ่งที่ต้องเผชิญเลย สักครั้ง
ก็เหมือนกับชีวิตของ “ลีน่า” ที่แม้วันนี้จะมีแค่ห้องแคบๆไว้เป็นที่ซุกหัวนอน แต่ก็อบอุ่นหัวใจอย่างบอกไม่ถูก เมื่อคนที่เธอรักยืนอยู่เคียงข้าง
“ชีวิตพี่ช่วงที่ไปอยู่จันทบุรีใหม่ๆยากจนมากนะ แต่ก็มีความสุขมากเลย เพราะมันมีความรักกับการใช้ชีวิตคู่เกิดขึ้นกับอดีตสามีของพี่ ถามว่าพี่ถูกใจอะไรในตัวเค้า พี่ถูกใจที่เค้าเป็นคนใจเย็น แต่ว่าเราเป็นคนใจร้อน มันก็ต้องหาคนที่จะมาทำให้เราเย็นลง เค้าเป็นคนใจเย็นและก็เอาใจเก่ง คอยยอมเราตลอดไงคะ แต่ว่าข้อไม่ดีเค้าก็มีน่ะ คือชอบเล่นการพนัน และเค้าก็เป็นคนเจ้าชู้ เพราะว่าเป็นคนรูปหล่อมาก (เสียงสูง)
แต่ว่ารวมๆแล้ว เค้าก็ไม่ได้เลวร้ายอะไรขนาดที่ตอนนั้นตัวพี่จะรับไม่ได้ เค้าออกจะเป็นคนดีขยันทำมาหากิน ไม่ดื่มสุราหรือว่าของมึนเมาที่จะทำให้เรารู้สึกไม่ดี แต่ว่าช่วงนั้นก็มีผู้หญิงมาชอบเค้าเยอะมากเหมือนกัน (รากเสียงยาว) เพราะเค้าหล่อ เหมือนพระเอกฮ่องกงเลย (นั่งยืดตัวตรงด้วยความภาคภูมิใจ) อย่างมีอยู่วันหนึ่งตอนที่ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่ก็มีผู้หญิงมาถามหาเค้ากับพี่ ถึงที่ร้าน คือตัวสามีพี่เองตอนนั้นเค้าไปบอกคนอื่นว่าพี่เป็นน้องสาวของเค้าเฉยๆ ไม่ได้อะไร”
มีอยู่วันหนึ่ง จู่ๆ ก็มีคนมาหา แล้วเค้ามาเดินมาถามเรา
“พี่ชายเธอไปไหนล่ะ ฉันเป็นแฟนของพี่ชายเธอ จะนัดเค้าไปนอน” (หัวเราะร่วน)
“คือเค้าเดินมาพูดต่อหน้าเราเลยน่ะ ทีนี้เราเห็นท่าทีของผู้หญิงคนนี้ เราก็ไม่โกรธไม่อะไรนะ ก็ทำเป็น แกล้งโง่ไปว่าเราไม่รู้ (หัวเราะ) เพราะตอนนั้นเรารู้สึกว่าตัวเองยังเด็กมาก และก็รักอดีตสามีคนนี้มากด้วย และเค้าก็ไม่เคยทำตัวเหลวไหลอะไรกับเรา ออกจะดูแลเทคแคร์เราเป็นอย่างดีด้วย”
“ในที่สุดพี่ไปอยู่จันทร์บุรีกับเค้าได้ 3 เดือน เราก็ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่ด้วยกัน 3 เดือนเองน่ะ (หัวเราะแบบอายๆ) มันอาจจะเร็วมาก แต่ว่าผู้หญิงกับผู้ชายน่ะก็เหมือนน้ำมันกับไฟ พอได้อยู่ใกล้ชิดกันมันก็… แต่เค้าขอพี่ก่อนน่ะ เค้าไม่ได้ข่มขืนพี่ เค้าพูดขอเราดีๆว่าเค้าขอร่วมหลับ นอนกับเราจะได้ไหม เพราะว่าอยากจะมีเพศสัมพันธ์กับเรา เราก็รักเค้า เค้าก็รักเรา พี่ก็เลยยอมตกเป็นของเค้าก็แค่นั้นเอง” (ยิ้มแบบอายๆ)
“แล้วสามีพี่เก่งเรื่องเซ็กส์มาก (หัวเราะแบบเขินๆแววตาสดใส) เค้าเก่งเรื่องบนเตียงจริงๆเรื่องนี้ก็ถือว่าเป็นเรื่องสำคัญเหมือนกันนะ จะว่าไปแล้วเนี่ย (หัวเราะหน้าแดง) เสร็จแล้วนี่พี่เขยเค้าคือตอนนั้นเรายังอาศัยบ้านพี่เขยเค้าอยู่ เค้ารู้ว่าเราสองคนมีอะไรกัน คบกันไปถึงไหนต่อไหน เค้าก็เลยบอกให้เราไปจดทะเบียนสมรส อุ้ย! ครอบครัวเค้าสนับสนุนหมดเลย
ตอนนั้นพี่อายุยังไม่ถึง 20 ยังจดทะเบียนสมรสไม่ได้ แต่กฎหมายเขียนไว้ว่า ถ้ากรณีไม่ถึง 20 แต่ถ้าผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายยินยอมก็สามารถที่จะจดทะเบียนได้ ฝ่ายเค้าน่ะยินยอมและก็พาที่จะไปจดทะเบียนกันเลย แต่เจ้าหน้าที่ไม่ให้จด เพราะฝ่ายหญิงคือพี่ไม่มีผู้ใหญ่มาเซ็นต์ยินยอม พี่ยังไม่บรรลุนิติภาวะ ยังถือเป็นผู้เยาว์อยู่เลย ก็เลยกลายเป็นว่าสามีพี่เค้าก็ต้องพาพี่ลีน่ากลับมาหาแม่พี่ เพื่อมาขอขมา และก็จะได้จดทะเบียนสมรสกันได้ วันนั้นก็ขึ้นรถทัวร์จากจันทบุรีเข้ากรุงเทพฯเลย”
“พอมาถึงปรากฎว่าพอมาขอขมาแล้วแม่พี่ไม่ยอมยกโทษให้ เพราะสามีพี่เค้าเอาเงินให้ 2,000 บาท แม่พี่ก็ด่าใส่กลับไปใหญ่เลย”
“ลูกสาวชั้นไม่ได้มีค่าแค่เงิน 2,000 บาท” (หัวเราะ)
“แม่ พี่โกรธมาก และก็ห้ามไม่ให้เราขึ้นไปเมืองจันทร์อีกแล้ว คือช่วงนั้นท่านคงโกรธเราสองคนกันมาก ตอนนั้นที่บ้านก็จะขายเฉาก๊วย ขายน้ำตาลสด พี่ก็กำลังขูดเฉาก๊วยเป็นเส้นๆ สามีพี่ก็นั่งร้องไห้อยู่ใกล้ๆ คือเค้าก็อยากจะให้เรากลับไปอยู่กับเค้าไง และเราเองตอนนั้นก็คงรัก เค้ามากด้วยน่ะ เราก็เลยไปบอกแม่ว่าฉันจะไปกลับเค้า (หัวเราะ) แล้วพี่ก็ทิ้งเฉาก๊วยแล้วก็เดินไปกับเค้าเลย ( หัวเราะ) คือตอนนี้เรานั่งหัวเราะได้นะ แต่ว่า ณ เวลานั้นเราหัวเราะไม่ออกเลย เพราะว่าใจหนึ่งเราก็เป็นห่วงแม่ รักแม่ แต่ว่าอีกใจหนึ่งเราก็รักสามีของเรามาก และเราก็สงสารเค้าด้วย พอมาโดน แม่กรีดกั้น หัวใจเรามันสลายเลยนะ แต่ว่าสุดท้ายเราก็ทนเสียงเรียกร้องของหัวใจตัวเองไม่ไหว ก็เลยต้องพากันหนีมาและเราก็กลับมาใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน โดยที่ไม่ได้แต่งงานอะไร” (ยิ้มหวาน)
ข้าวใหม่ปลามันแม้ในใจจะยังรู้สึกผิดจนต้องแอบร้องไห้อยู่หลายครั้งหลายครา กับเหตุการณ์วันนั้น วัน ที่เธอตัดสินใจเก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋าหนีออกมากับสามีที่รักโดยที่ผู้ เป็นแม่ เอ่ยปากคัดค้านเสียงดังลั่น เมื่อเลือกที่จะก้าวเดินออกมาแล้ว ก็จะก้าวเดินต่อไปให้ดีที่สุด ในเมื่อ ณ เวลานี้ เธอกำลังเริ่มต้นใช้ชีวิตที่เรียกว่าเป็นครอบครัวของเธอเองจริงจังสักที
“พอกลับ มาอยู่ที่จันทบุรี คราวนี้จากเดิมเราอาศัยอยู่ในบ้านพี่เขย ที่นี้พอเราอยู่กัน เป็นครอบครัวของเราเอง เราก็เลยต้องย้ายออกมาจากบ้านหลังนั้น มาอยู่บ้านเช่าหลังเล็กนิดเดียว ค่าเช่าเดือนละ 300 บาทเองนะ แถมยังไม่มีน้ำประปาใช้ เราต้องสาวน้ำขึ้นมาจากบ่อน้ำบาดาลนั่นแหละขึ้นมาใช้ เราก็ยังทนอยู่ด้วยกันได้ ทำมาหากินด้วยขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น คืนหนึ่งก็ได้กำไรวันละ 400- 500 บาทแค่นั้น ก็ขายอยู่ข้างถนนนั่นแหละ แล้วตอนนั้นสามีพี่ก็เป็นคนขยันมาก เป็นคนดีมากเลย คอยดูแลเรา ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด มีบางวันที่อยากพักเราก็ไปเล่นน้ำตกพลิ้วด้วยกัน คือถึงจะจนแต่เราก็มีความสุขนะ ขนาดพี่ต้องซ้อนมอเตอร์ไซด์ที่สามีพี่เป็นคนขับ หิ้วหม้อกระเทียมเจียว และก็ถือตระกร้าใส่ของหนักๆ ซ้อนท้ายออกมาจากบ้านทุกวัน เหนื่อยแสนเหนื่อยแต่เราก็ช่วยกันทำ”
“แถมมีอยู่วันหนึ่งรถมอเตอร์ไซด์คว่ำ พี่ถลอกปลอกเปิกหมดเลย เค้าก็ถลอกปลอกเปิกก็ยังทนทำอยู่ด้วยกัน หรือขนาดว่าบ้านที่อยู่เนี่ย พี่เจียวน้ำมันจนไฟจะไหม้ ชาวบ้านจะเอาไม้มาตีพี่ เค้าก็ไม่ยอมให้ใครมาทำอะไรพี่เลยสักนิด คือเราก็ยังทนกันน่ะ (เสียงสูง) คือมันมีความสุขน่ะ กัดก้อนเกลือกินแต่เราก็มีความสุข ช่วงที่ออกมาอยู่ด้วยกันใหม่ๆ มันลำบากมาก แต่เรายังมีไฟด้วยไง ไฟของคนหนุ่มคนสาว แล้วพอพี่ไปอยู่ตรงนั้นแล้วพี่ก็ เฮ้อ! เราก็เป็นคนแบบอยู่นิ่งไม่ได้ ชอบพัฒนา ชอบคิด อยากจะทำนู่นทำนี่ เรามีร้านก๋วยเตี๋ยวเป็นของตัวเองอยู่แล้ว ก็เลยเพิ่มเมนูอาหาร ด้วยการทำก๋วยเตี๋ยวหมูแดงขาย ทำก๋วยเตี๋ยวตำลึง เกี๊ยวหมูแดง หมูสับตำลึง วุ้นเส้นตำลึง อะไรพวกนี้ หลายอย่าง ปรากฎว่า อุ้ย! ขายดี ลูกค้าเริ่มเยอะขึ้น ทีนี้เริ่มมีกำไรมากขึ้นกว่าเดิมอีกหน่อยแหละ เราก็ได้ใจใหญ่เลย คราวนี้ก็มาแล้วก็คิดทำก๋วยเตี๋ยวเนื้อเปื่อย หมูเปื่อย ก๋วยเตี๋ยวเอ็นตุ๋นขึ้นมาอีก ก็ขายดีมาก จากกำไรวันละ 500 กลายเป็นวันละหมื่นแล้ว” (เสียงสูง ท่าทางตื่นเต้นดีใจ)
“ซึ่งช่วงนี้เองชีวิตก็มาถึงจุดเปลี่ยนกันอีกครั้ง เพราะว่าก๋วยเตี๋ยวขายดีไง อย่างที่บอก จากเดิมวันละ 400-500 กลายเป็นขายได้วันละหมื่นกว่า เพราะว่าเราขยันมาก เราเปิดขายตั้งแต่ 5 โมงเย็นขายถึง 6โมงเช้า พอ6 โมงเช้าก็ซื้อของในตลาดกลับบ้าน และก็กลับไปหมักหมูกว่าจะได้นอนก็ 10 โมงเช้า พอบ่ายสองก็ต้องตื่นเตรียมของเพื่อจะเอามาขายแล้ว ขยันมากช่วงนั้นเพราะว่ามันอยู่ในช่วงวัยหนุ่มสาวพลังมันมีเยอะเหลือเกิน วันหนึ่งนอน 2-3 ชั่วโมงก็ไม่เป็นไรทนได้ คิดดูสิขายดีถึงขนาดมีเงินฝากธนาคารทุกวัน วันละ 5000 บาท (หัวเราะ) เงินสดๆ น่ะ (ทำตาลุกวาว) แล้วเราก็ได้กำไรวันละ 5000 ทุกวันเลย ทั้งที่ก็ขายอยู่ข้างถนนเราก็เลยมีเงิน มาซื้อที่ดิน 200 ตารางวา ซื้อบ้านในตลาดเลย 4 แสนกว่า คือเซ้งมาเลย อู้ย! ตอนนู้น 20 กว่าปีก่อน 4 แสนบาทก็เท่ากับ 40 ล้านน่ะ”
“ชีวิตมันเปลี่ยนไปเลย จากเดิมที่เราอยู่ห้องเช่าเดือนละ 300 บาท ทีนี้พอมีเงินปุ๊บทุกอย่างในชีวิตมันเลยดูหรูหราไปหมด (หัวเราะร่วน) จำได้ว่าตอนนั้นพี่ก็ตั้งท้องลูกคนแรกแล้วด้วย เพราะหลังจากก้มหน้าก้มตาทำมาหากิน จนมีบ้านเป็นของตัวเอง มีเงินเก็บประมาณ 4- 5 ล้านบาท เพราะว่ากิจการร้านก๋วยเตี๋ยวก็ดีขึ้นเรื่อยๆ กำไรดีมาก
พี่กับสามีก็เลยตัดสินใจอยากจะมีลูกสักคนหนึ่ง ณ ตอนนั้น เพราะว่าเราก็พร้อมที่จะเป็นแม่คนพ่อคนกันแล้ว พี่ก็เลยเลิกกินยาคุม น่าจะอายุประมาณ 24 ปีแล้วน่ะ ตอนที่ตั้งท้องลูกชายคนแรก หักอกเมียหลวง หลายคนบอกว่าครอบครัวจะสมบรูณ์แบบก็ต่อเมื่อพ่อ แม่ ลูก อยู่ด้วยกัน อย่างพร้อมหน้าพร้อมตา และ ‘ลูก’ ก็จะเป็นดั่งโซ่ทองคล้องใจที่จะทำให้สานสัมพันธ์ ของสามี-ภรรยากัน แน่นแฟ้นมากยิ่งขึ้น”
ทว่ากับครอบครัวของ “ลีน่า” กลับไม่เป็นเช่นนั้น ในเมื่อเงินทองที่สู้อุตส่าห์กัดก้อนเกลือกินและหามาได้อย่างมากมาย กำลังจะกลายเป็นเครื่องมือที่ทำให้ครอบครัวร้าวฉาน
“จริงๆ ตอนช่วงที่กัดก้อนเกลือกินเป็นช่วงเวลาที่พี่รู้สึกโอ.เค กับมันมากเลยนะ คือถึงจะจนแต่เราก็มีความสุขนะ แต่พอรวยมีเงินเป็นล้านๆ สิบล้าน ร้อยล้าน พี่กลับไม่มีความสุขเลยชีวิต เพราะอะไรรู้มั้ยค่ะ ก็เพราะเงินมันมาทำให้ชีวิตครอบครัวของพี่ล้มเหลวค่ะ”
“จุดเริ่มต้นของความล้มเหลวมันเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงพี่ทำร้านก๋วยเตี๋ยวรุ่ง เรื่องอยู่นั่นแหละ คือ ก๋วยเตี๋ยวขายดี เราก็ต้องมีลูกจ้างเพิ่มเข้ามาจากเราทำ 2 คนกลายเป็น 7 ,8, 9, 10 ,11 … คน คือเราก็พอมีเงินเก็บเยอะหน่อยแล้วใช่มั้ย ที่นี้ลูกจ้างที่จันทบุรีหายากมาก เราก็เลยต้องมาหาที่กรุงเทพ เพราะเมืองจันทร์มันเป็นเมืองรวยไง คนก็ทำเพชร ทำพลอยกันหมด สามีก็เดินทางมาหาคนที่กรุงเทพ ที่หัวลำโพงก็มีสำนักงานจัดหางาน แล้วเราก็เสียค่าหัวให้เค้าคนละพันห้า แล้วเราก็เอาขึ้นไปทำ แล้วสามีก็ดันมาติดผู้หญิง ผู้หญิงที่เป็นบัสโฮสเตส ผู้หญิงที่คอยเสิร์ฟน้ำอยู่บนรถทัวร์ คราวนี้พอติดก็เค้าก็เอามาเป็นเมียน้อย และก็แอบคบมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกันอยู่พักหนึ่ง พอเราก็รู้เค้าก็มาขอว่าตัวสามีพี่นะ มาขอแบบว่า
“เอ่อ! ขอให้ผู้หญิงคนนี้มาอยู่บ้านเดียวกันได้ไหม จะได้ไม่ต้องไปหาลูกจ้างที่กรุงเทพฯ เข้าๆออกๆ เสีย ค่าหัว คือเหมือนเต็กกอมีเมียตั้ง 11 คน”
“ที่แรกที่รู้เราก็แบบเจ็บมันเจ็บตรงนี้ (เอามือกุมไว้ที่หัวใจ) โอ้ ย! มันเจ็บเหมือนมีคน มาบีบหัวใจเรา เจ็บเหมือนเราจะขาดใจตายน่ะ นึกสภาพของพี่ดูสิว่าตอนนั้น หัวอกกลัดหนองขนาดไหน แต่จะให้พี่ลีน่าทำยังไงล่ะ ก็ในเมื่อสามีพี่เค้ามาขอพี่ตรงๆ เค้ามาบอกว่า จะเอาผู้หญิงคนนี้มานอนอยู่ในบ้านจะได้ไม่ต้องไปเสียงานจ้างลูกจ้าง เพราะเราเองก็ทำไม่ไหว แล้วเดือนหนึ่งๆหมดค่าลูกจ้าง โอ้โห้ ! บางทีเอามาค่าหัวหัวละพันห้าเอามาห้าคน ค่ารถทัวร์ค่าอะไรก็เป็นหมื่นนะ (เสียงสูง) บางคนอยู่ไม่ถึงอาทิตย์ออกแล้ว เราก็เสียเวลาเสียเงินหาใหม่อีก เค้าก็เลยมาเปิดอกบอกกับเราตรงๆ เราก็โอ.เค. แล้วสามีพี่ก็พาเข้ามาอยู่ด้วยกันเลย คือด้วยความที่เรารักสามีมาก เราก็ตามใจเค้า แต่พอเอาเข้าจริงๆ มามันไม่ใช่อย่างนั้น” (น้ำเสียงเศร้าๆ)
“มัน มีปัญหาตรงที่ว่าเวลานอน ไอ้ผู้หญิงคนนั้นมันก็ของใหม่แหละนะ เราก็ของเก่า สันดานผู้ชายมันก็เห่อของใหม่ คือเรานอนห้องเดียวกัน อยู่ด้วยกัน 3 คน แต่เวลาจะมีเพศสัมพันธ์สามีเราเค้าก็ทำให้แต่ผู้หญิงคนนั้น เราก็นอนอยู่ด้วยก็เห็นตำตา เราก็มีเลือดเนื้อ เราก็ทนไม่ได้ ก็ได้แต่ร้องไห้และก็วิ่งหนีออกจากห้องนอน คือเค้าไม่ยอมทำให้เราบ้างนะ และเราก็ต้องทนอยู่ในสถาพแบบนี้นานเป็นเดือนๆ และสุดท้ายเราก็ตัดสินใจไปบอกเค้า”
“คุณออกไปเถอะทั้งคู่เลย ออกไปเถอะ ฉันทนไม่ไหวแล้ว ไปซะเถอะ ฉันทนไม่ได้ ไม่งั้นฉันคงฆ่าตัวตายแน่ๆ เลย”
“พี่ลีน่าก็ไปพูดกับเค้าสองคนตรงๆ ช่วงนั้นจำได้ว่าสภาพตัวเองแย่มากจริงๆ น่ะ เอาแต่ คร่ำครวญเสียใจ ร้องไห้ๆๆๆ เหมือนคนบ้า คือเรารู้สึกเจ็บปวดมาก เจ็บปวดมากทนไม่ไหวจริงๆ สามีพี่เค้าเก่งมากเรื่องเซ็กส์ แต่เค้าไม่ยอมทำให้เรา คือพี่เองตอนนั้นก็เพิ่งจะมีน้องได้ใหม่ๆ เค้าก็มาขอเรามีเมียน้อย มันเจ็บมาก รู้สึกเจ็บปวด ทนทุกข์ทั้งวันเลยเหมือนใจจะขาด ร้องไห้เหมือนกับคนเสียสติ เหมือนกับคนบ้า กินอะไรไม่ลงเลย
จริงๆ ตอนนั้น แค่จะกลืนน้ำลงคอยังกลืนยากเลย พอเค้าเห็นสภาพของเราแย่จริงๆ เค้าก็ยอมออกไป ออกไปทั้งคู่ คือตัวผู้ชายเองก็ออก ไปเช่าบ้านให้ผู้หญิงคนนั้นอยู่ แต่ว่าในที่สุดพอเค้าไม่มีจะกิน เค้าก็กลับมาหาเรา ทั้งที่ก่อนหน้านี้ เราขอให้เค้าเลิกกัน แต่ว่าเค้าไม่ยอมเลิก งั้นก็ให้ไปซะเถอะ เธอช่วยไปจากชีวิตเรา เค้าก็ไป พี่เป็นคนใจนักเลงมากเลยน่ะ เจ็บก็ได้ ฉันยอมเจ็บ แต่ฉันจะไม่ทนกับสภาพอะไรที่มันทำให้ตัว ตัวเองดูแย่น่ะ”
“อุ้ย! ตอนนั้นพี่มีความรับผิดชอบมากเลย เพราะว่าหนึ่งเรามีลูกยังเล็กเพิ่งจะได้ขวบหนึ่ง และเราก็ยังมีลูกจ้างอยู่ตั้ง 7 คน และเราก็มีร้านก๋วยเตี๋ยวที่เรายังต้องดูแลอีก พี่ก็ทำตัวให้เข้มแข็งและออกมาค้าขายทุกวัน เพราะเรารู้ว่าผู้ชายคนนี้เนี่ย ยังไงเค้าก็ต้องกลับมาถ้าเกิดไม่มีกิน เพราะมันเคยไปมาแล้วครั้งหนึ่งไง พอมันไม่มีกิน มันก็กลับมา เราจะไปบ้าจี๊ตามเค้าไม่ได้ไม่งั้นร้านเราจะเจ๋งเสียก่อน” (หัวเราะ)
“แล้ว พอเค้ากลับมาขอใช้ชีวิตคู่อยู่กับพี่อีกครั้ง คือความดีเค้าก็มีเยอะนะที่ผ่านๆมา มันหลายอย่าง และตอนนั้นพี่ทำใจยอมรับกับสภาพที่มันเกิดขึ้นได้แล้วก็โอ.เค. ก็กลับมาใช้ชีวิติคู่ด้วยกันอีกครั้ง ก็ยังยอมรับเค้าได้ เพราะเค้าก็มาบอกกับเราว่าเค้าเลิกกับเมียน้อยคนนั้นแล้ว แต่จริงๆ แล้วยังไม่ได้เลิกกันไง แล้วเราก็ไม่รู้ ซึ่งปัจจุบันเมียคนนี้ของเค้า ก็มีลูกกับเค้า 2 คนนะ ซึ่งอุปสรรคตรงนี้มันก็เป็นมรสุมลูกแรกในการใช้ชีวิตครอบครัวของพี่ ซึ่งมันก็ทำให้พี่รู้สึกทุกข์หนักมาก แต่ก็เพราะความรักที่มันมีมากกว่าก็เลยทำให้เรายอมอภัยให้เค้าได้ แต่ว่าการให้อภัยกันครั้งนั้นมันก็กลายเป็นมีดกลับมาทิ่มแทงตัวพี่เองอยู่ดี และมันก็เป็นชนวนเหตุที่ทำให้พี่ตัดสินใจหย่าขาดกับอดีตสามีพี่จริงๆ”
“ก็อย่างที่พี่บอกชีวิตนักการเมืองของพี่ล้มเหลวค่ะ ชีวิตครอบครัวของพี่ล้มเหลวค่ะ (หัวเราะร่วน) แต่มันก็เป็นบทเรียนที่ทำให้พี่เข้มแข็ง และก็แข็งแกร่งมาจนถึงทุกวันนี้ ยังไงฉบับต่อๆไปก็ลองมาติดตามเรื่องราวชีวิตรักของพี่กันต่อนะคะ มาดูว่าผลลัพท์ของการที่เรารักสามีมากตามใจสามีตัวเองสุดท้ายจะช้ำใจมากน้อย แค่ไหนลองติดตามกัน”