ปลอกเปลือกชีวิตผู้หญิงกล้าแห่งปี......ลีน่า จังจรรจา (ตอนที่ 2)

 

 

 

 

ปลอกเปลือกชีวิตผู้หญิงกล้าแห่งปี......ลีน่า จังจรรจา  (ตอนที่ 2)

 

 

ตอนที่ 2

“ดอกรักผลิบาน”

หลังจากโชคชะตาพลิกผันทำให้เด็กผู้หญิงตัวเล็กๆ คนหนึ่งในวัยเพียงแค่ 11 ขวบ ต้องออกจากโรงเรียนกลางคลันทั้งที่ใจนั้นเป็นเด็กใฝ่เรียนรู้ แต่เพราะความ ยากจน และสถานการณ์ความจำเป็นมันบีบคั้น ทำให้ “ลีน่า” ต้องเก็บเอา ความรู้สึก หดหู่ใจสลัดทิ้งไป และหันมาก้มหน้าก้มตาทำมาหากินกับชีวิตการเป็นแม่ค้า มืออาชีพอย่างจริงจัง

 


และผลของการเป็นคนขยันกัดฟันสู้อย่างไม่ลดละ เพียงชั่วพริบตา เมื่อก้าวเข้าสู่วัยแรกรุ่น “ลีน่า”ก็แทบจะเปลี่ยนตัวเองจากคนไม่มีอันจะกินกลายเป็น เศรษฐีนีรายใหม่ไปซะแล้ว…

“ตอนนั้นพี่อายุราวๆ 15 ขวบแล้วล่ะ ช่วงนั้นเป็นช่วงที่เราขายของดีมาก เริ่มได้เงินเป็นกอบเป็นกำ และก็มีเงินพอเหลือเก็บด้วยล่ะ คือด้วยความที่เราเป็นคนไม่อยู่นิ่งชอบพัฒนาเหมือนเป็นคนตัวเล็กใจใหญ่ ชอบคิด ทำนู่นทำนี่ ทีนี้เรามีร้านขายน้ำตาลสดแล้วใช่ พี่ก็คิดได้ว่าเราน่าจะมีน้ำหลายๆ อย่างให้ลูกค้าได้เลือกซื้อ ดีกว่ามาขายน้ำตาลสดอย่างเดียว

พอคิดได้อย่างนี้ก็เลยทำน้ำลำใย น้ำเก๊กฮวย น้ำมะพร้าว มาขายเพิ่ม อุ้ย! ซึ่งพอเอาไปขาย มันก็ขายได้ดีแหละ คราวนี้เอาใหญ่เลยคิดใหญ่เลย ขายทั้งซาหริ่ม ขายลอดช่องสิงคโปร์ ขายน้ำ แห้ว ขายน้ำวุ้น ขายน้ำเฉาก๊วย โอ้ย! ขายอยู่สิบกว่าอย่าง เก่งมาก อายุแค่ 15 เองนะ (หัวเราะร่วน)

พอทำไปได้สักพักพี่ก็เริ่มมีเงินเหลือกินเหลือใช้มากขึ้น เพราะเราขายของหลายอย่างใช่ม้า… แล้วมันก็ได้กำไรดี ตัวเราเองก็เป็นคนคิดการณ์ใหญ่ กล้าได้กล้าเสีย ก็คิดที่จะจัดนำเที่ยวอีก คืออยากจะพาคนไปเที่ยวเขาใหญ่ พอคิดปุ๊บก็ทำปั๊บเลย ก็ไปติดต่อหารถเช่าทันที คือเราคล้ายๆ เป็นคนหัวหมอ และก็ขี้โกงนิดหนึ่งน่ะ (หัวเราะแบบเขินๆ) เป็นคนฉลาดแกมโกงเมื่อตอนเด็กๆ นะคะ แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้วนะ (ยิ้มหวาน) ตอนนั้นก็เลยแบบว่าพิมพ์บัตรไป200ใบ แต่ไปจองรถไว้แค่80 ที่นั่งไงคะเป็นรถบัสนะ

แล้วตอนนั้นเราก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนมีอารมณ์ศิลปินใช่ย่อยน่ะพี่เองเนี่ย ก็เลยคิดร่าง คำพูดให้มันสละสสวยบนบัตรที่เราเอาไปพิมพ์นั้นนะ แล้วพอเวลาเอาไปขาย ปรากฎว่า อุ้ย! ขายหมดเลย 200 ใบ (น้ำเสียงตื่นเต้นดีอกดีใจ) ที่นี่ก็เดือนร้อนสิคะ เพราะพอถึงวันนัดมากันหมดทั้ง 200 คนเลย เราก็ตายสิ (หัวเราะ) ไม่ มีรถจะพาไป แล้วเราก็ยังไม่ได้เก็บเงินเค้าไงตอนที่ขายไปน่ะ คือทำแบบว่าพอมาขึ้นรถถึงจะเก็บเงิน ซึ่งก็เป็นธรรมดา ที่เราต้องทำเพื่อไว้ก่อนถูกมั้ย

คือพอเอาไปขายแล้วดันมากันหมดทุกคนเลยก็เดือดร้อนน่ะสิ (หัวเราะร่วน) เงินก็อยากได้ เราก็เลยต้องรีบแก้ปัญหา พี่ก็ต้องวิ่งไปหารถแถววงเวียนเล็กเพราะเราอยู่ที่ตลาดวรจักรไงก็ไปเอารถขน ศพมา 40 ที่นั่ง เอามา 2 คันน่ะ แต่ก็ยังไม่พออีก อุ้ย! วุ่นวายยกใหญ่เชียวล่ะวันนั้น ทีนี้เลยกลายเป็นเราต้องเช่ารถบัส 2 คัน อุ้ย! ได้กำไรมาตั้งสี่พันบาท เงินใหญ่มากเลยนะ …… (น้ำเสียงตื่นเต้น) สี่พันบาทตอนนู้น 35 ปี ก่อนมันก็เท่ากับสี่แสนเลยล่ะ ในปัจจุบัน คิดดูสิแล้วช่วงสมัยนั้นมันหาไม่ได้ง่ายๆ เลยน่ะ” (แววตาแห่งความสุขในวันวานผุดขึ้นมาให้ได้เห็นกันอีกครั้ง เมื่อลีน่าได้เล่าถึงประสบการณ์ชีวิตที่น่าทึ่ง)

ทว่าพอความสุขมันโบยบินเข้ามาให้ชุ่มชื่นหัวใจได้ไม่ทันไร ก็มี เหตุการณ์ เศร้าสลดที่ทำให้ชีวิตของ “ลีน่า” ต้องเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ หลังจากเกิด เรื่องเข้าใจผิดและมีปากเสียงทะเลาะเบาะแว้งกับบุพการีรุนแรงขนาดถึงขั้นที่ ว่าถูกขับไล่ออกจากบ้าน

ซึ่งผลพวงของความน้อยเนื้อต่ำใจกับคำพูดของผู้เป็นแม่ในครั้งนั้นทำ ให้ “ลีน่า” หอบเอาความรู้สึกเจ็บปวดไปเรียนรู้ และรู้จักกับคำว่า “รัก” เข้าจนได้

“ชีวิต พี่เริ่มมาพลิกผันเข้าอีกครั้งก็ตอนที่เรามีเงินเยอะแล้ว มันก็เลยทำให้เราเกิดกิเลส อยากจะได้นู่น อยากจะได้นี่ ก็เลยไปเรียนกีต้าร์ เพราะความที่ตอนนั้นมีดาราญี่ปุ่นคนหนึ่งดังมากดังระเบิดเลยนะ (น้ำเสียงสดใส) เป็นนักร้องที่เค้าแบบจะดีดกีต้าร์ไว้ผมยาวๆ ไว้ผมทรง หน้าม้าด้วย และจุดเด่นของเค้าก็คือทำผมเป็นสี ๆ นี่แหละสะดุดตาพี่มาก

เราก็แหม! คลั่งไคล้นะ (หัวเราะร่วนๆ ) ก็ทำตามเค้าทุกอย่างเลย คือเค้าทำอะไร เราก็ทำตามเค้าด้วยความที่ชอบมาก…. (รากเสียงยาว) ชอบ จริงๆ อยากเป็นแบบนั้นบ้าง เพราะฉะนั้นพอมีเงินเยอะปุ๊บเราก็ไปเรียนกีต้าร์ที่สมาคม YMCA กีต้าร์แพงนะคะตอนนั้นราคาตัวหนึ่งก็ตั้งสี่ร้อยบาทเทียบเท่าตอนนี้ก็ประมาณ สี่หมื่นนะคะ (เสียงสูง ทำตาลุกวาว) แต่เราไม่ได้คิดอะไร ก็ไปซื้อเลย และก็ถือกีต้าร์ไปเรียน แล้วค่าเรียนก็แพงตั้งพันห้า ก็พอขายของเสร็จพี่ก็จะถือ กีต้าร์ไปเรียนล่ะ

และตอนนั้นขนาดเราเอาเงินไปซื้อกีต้าร์ เรียนกีตาร์เสียเงินตั้งเยอะแล้วนะ เงินมันก็ยังเหลือ เก็บอีกเยอะ พี่ก็เลยตัดสินใจส่งน้องสาวอีกคนหนึ่งไปเรียนตัดเย็บเสื้อผ้าทีนี้ปราฎกว่า น้องสาวไปเรียนก็ต้องไปเรียนตอนกลางคืน กลางวันก็ขายของเหมือนพี่ลีน่า ซึ่งพอต้องไปเรียนกลางคืนก็มีอยู่วันหนึ่งเค้าดันกลับบ้านดึกประมาณ 4 ทุ่มกว่าๆ ได้ ที่จริงถ้าเทียบกับสมัยนี้มันก็ยังไม่ได้ดึกอะไรมาก แต่สมัยก่อนมันไม่ใช่นิ นึกออกมั้ย พอน้องกลับบ้านดึกก็เป็นเรื่อง แม่ก็พาลมาโกรธพี่ ดุพี่ ว่าพี่ต่างๆ นานา แล้วก็เอาไม้มาไล่ตีเราใหญ่เลย

เราก็แบบ เอ๊ะ! เราไม่ได้ทำผิดทำไมแม่ต้องมาตีเรา เอาหวายที่เค้าใช้หาบน้ำตาลสดนั่น แหละ มาตีเรา มันจะเป็นหวายที่หาบหม้อ ไม่ใช่คานนะคะ มาเฆี่ยนเรานะเจ็บมากเลย เจ็บจนน้ำตาร่วง เราก็โมโหมาก คือจริงๆตอนนั้นแม่มาพาลโกรธพี่ที่น้องกลับบ้านดึกเพราะเราเป็นคนส่งน้องไป เรียนตัดเย็บเสื้อผ้า คืนนั้นพี่ก็ทะเลาะกับแม่ ด้วยความน้อยใจ พี่ก็เลยเอากีต้าร์ทุ่มทีวี ปรากฎว่าทีวีไม่แตกหรอก แต่กีต้าร์เราน่ะแตก(หัวเราะ) กีต้าร์เราพังแทนซะนี่ (หัวเราะ)

คืนนั้นแม่โกรธพี่มากก็เลยไล่พี่ออกจากบ้านคืนนั้นเลย แต่ว่าเราก็ไม่รู้จะไปไหนน่ะตอนนั้น ก็เลยต่อรองแม่ขอเป็นพรุ่งนี้ได้ไหม มันสี่ทุ่มกว่าแล้ว ไว้พรุ่งนี้เช้าตื่นมาก็จะไป เราก็ใจแข็งนะ เช้ามา ก็เก็บเสื้อผ้ายัดใส่กระเป๋ากับกีต้าร์แตกๆ นั้นแหละ ขึ้นรถทัวร์ไปจันทบุรีเลย ตอนนั้นเราอายุประมาณ 18 ปีแล้ว เราก็ขึ้นไปหาอดีตสามี “คุณวันชัย แสงพรศรีอรุณ” ที่พี่มีลูกกับเค้า2 คน เค้าไป ขายก๋วยเตี๋ยวอยู่เมืองจันทร์” (ยิ้มหวาน)


ดอกรักผลิบาน

พอมีโอกาสที่จะได้ย้อนวันวานในช่วงวัยแตกเนื้อสาว ความสุขที่เปี่ยมล้นในช่วงวัยนั้นที่ถูกเก็บซ่อนไว้ข้างในซะนานนม จนแทบจะลืมเลือนไปแล้ว นาทีนี้กำลังจะถูกเปิดเผยขึ้นอีกครั้ง พร้อมกับแววตาที่ส่องประกายแวววับและคำพูดที่พรั่งพรูออกมาไม่หยุดปาก จากผู้หญิงต้องสู้ ปากกัดตีนถีบคนนี้

“ตอนนั้นที่โดนไล่ออกจากบ้าน เราก็คิดถึงผู้ชายคนนี้เลย เพราะเค้าเองเค้าก็บอกว่ารักเรา และเราก็รักเค้า(หัวเราะ) คือจริงๆ เค้าก็เป็นคนดีทำมาหากินเค้าก็เป็นลูกคนจีน รักการค้าขาย เราก็คิดจะไปหาเค้าที่จันทบุรี เพราะเค้าก็ให้เบอร์โทรติดต่อกับเราไว้ เราก็ไปและก็บอกเค้าว่า

‘ฉัน ขอมาเป็นลูกจ้าง ขอให้มีบ้านให้ฉันอยู่ มีข้าวให้ฉันกินเท่านั้นพอ เงินเดือนไม่ต้องก็ได้ ฉันจะมาล้างจานให้’

ตอนนั้นเค้าก็รับเราไว้ให้เราอยู่กับเค้าด้วย

ถ้าจะว่าไป จริงๆ แล้วอดีตสามีของพี่คนนี้ เค้าเป็นเพื่อนสมัยที่พี่เรียนหนังสือและเราก็อยู่ในห้องเดียวกัน ตอนเด็กๆ เค้าก็จะบอกว่าเราเป็นแฟนกัน ประมาณ ป. 5 ได้ ก็เล่นๆ กันเหมือนกับว่าเพื่อนๆ ก็จะคอยแกล้ง คอยแซว เป็นแฟนกันน่ะ ซึ่งพี่เชื่อว่าสมัยเด็กๆ ทุกคนเคยผ่านความรู้สึกอะไรแบบนี้กันมาบ้างแหละ สมัยประถมฯหรือไม่ก็มัธยมฯ มันเป็นรักแบบวัยรุ่น รักแบบกิ๊กๆ ใสๆ ไร้เดียงสา ยังไม่ได้คิดอะไรมาก

แล้ว ตอนนั้นเด็กๆ พี่เป็นคนเรียนเก่ง สอบได้ที่หนึ่งด้วย เค้าก็ชอบมาลอกการบ้านที่บ้านพี่ลีน่า แม้แต่ช่วงที่พี่ต้องออกจากโรงเรียนแต่เราก็ยังได้เจอกันอยู่เรื่อยๆ เจอกันตลอดเวลา เล่าแบบนี้ดีกว่าตอนแรกเค้าอยู่กรุงเทพฯ อยู่ในตลาดวรจักรเหมือนกัน บ้านเราอยู่ใกล้กันมากเลย คือตัวเค้าเองเกิดที่ตลาดวรจักร พี่เองก็เกิดที่ตลาดวรจักร พี่ก็ขายของอยู่ในตลาด บ้านแม่เค้าก็อยู่ในตลาด ก็ได้เห็นหน้าคุยกันทุกวัน โรงเรียนพระพิเรนทร์ก็อยู่ใกล้ๆ ตลาดวรจักร สมัยนั้นเรียนแค่ครึ่งวัน เลิกเรียนปุ๊บ เค้าก็จะมาบ้านพี่ เพราะบ้านพี่ขายของชำด้วย ก็มีขายบุหรี่อะไรพวกเนี่ย เค้าก็จะมาขอบุหรี่เรา เพราะเค้าสูบบุหรี่ตั้งแต่อายุ 11 ขวบ (หัวเราะ) สมัยนู้นน่ะ อย่าไปคิดอะไรมาก เราสองคนก็เลยสนิทกันมาเรื่อยๆ

คือ มันเป็นความผูกพันมาจากความเป็นเพื่อน พอโตมามันก็เลยกลายเป็นว่าเราดันมาชอบกันจริงๆ แล้วที่บ้านพี่ก็รู้ว่าเค้าเองก็มาชอบพี่ แต่เราก็ยังเด็กอยู่ เค้าก็ไม่ใช่ว่าจะสนับสนุน ให้มีแฟนอะไรนะ ก็ให้คุยกันได้คือคบกันได้แต่ต้องอยู่ในสายตาผู้ใหญ่ แต่พี่เองก็ยังแอบไปดูหนังกับเค้าไปที่โรงหนังแคปปิตอลสองคนไม่ได้บอกใคร แล้วพอกลับมาพ่อก็ตี แม่ก็ตี เพราะเราไม่ได้ขออนุญาต คือเรากลัวว่าถ้าขอแล้วเค้าจะไม่ให้ไปก็เลยแอบไปเลย ถูกตีซะอ่วมเลย แต่ว่าก็ไม่เข็ดนะ (หัวเราะร่วน) ก็ ยังจะตามไปดูหนังกับเค้าตลอด ด้วยความที่เราสนิทกับเค้า และเราเองก็ไว้ใจเค้าด้วยว่าเค้าเองก็เป็นสุภาพบุรุษ พอมีหนังที่อยากไปดูก็ไปดูเลย (ยิ้มหวาน)”


รักแรก…แรกรัก

“ช่วง นี้ที่เราเริ่มเป็นแฟนกันใหม่ๆ เค้าก็ออกจากโรงเรียนมาเป็นลูกจ้างร้านเครื่องใช้ไฟฟ้าและก็มาทำเป็นช่างไฟ อยู่พักหนึ่ง ตอนนั้นเราก็จิ๊จ๊ะจี๋จ๋าตามประสาวัยรุ่นทั่วๆไปเลย อย่างวัดสระเกศมีงานประจำปี งานภูเขาทองน่ะ เค้าก็จะมารับเราพาเราไปเที่ยว ที่จำได้แม่นๆเลย คือเค้าจะพาพี่ไปนั่งชิงช้าสวรรค์กันสองคน และเค้าก็จะคอยป้อนขนมป้อนลูกเกดที่พี่ชอบให้กิน จะคอยเอาใจเราตลอด ตอนนั้นเราก็แบบ อุ้ย! ฉันมีความสุขจังเลย (ยิ้มหน้าบาน) แค่นี้สำหรับเรามันก็โรแมนติกแล้วล่ะ (หัวเราะเสียงสดใส)

ช่วงที่เป็นวัยรุ่นตอนนั้นน่ะ ก็ไปดูหนังที่โรงหนังแคปปิตอล เมื่อก่อนแถวคลองถมจะมีโรงหนังแคปปิตอล เราก็ไปดูหนังด้วยกัน หรือไม่เค้าก็พาพี่ไปเที่ยวสมุทรปราการ ไปนั่งสามล้อ ถีบด้วยกัน(หัวเราะ) ไปเที่ยวปากน้ำ ไปเที่ยวซาฟารีเวิลด์ และเค้าก็เป็นคนเอาใจเราเก่งมาก เก่งจริงๆ มันก็เลยทำให้เราก็ไม่มองใครเลย และก็ไม่คิดจะมองใครอีก อีกอย่างหนึ่งเพราะว่าพี่เป็นลูกคนจีน ลูกคนจีนต้องแบบว่ารักเดียว ใจเดียว และก็ต้องซื่อสัตย์ต่อสามี ต่อคนที่เป็นแฟน พี่ก็ซื่อสัตย์ต่อเค้ามากไม่สนใจผู้ชายคนไหนอีกเลย”

ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่กำลังพัฒนาคืบหน้าไปได้สวยแต่ก็มันก็มี เหตุให้ต้องแยกจากกันอีกจนได้ เมื่อฝ่ายชายอยากมีอนาคตที่ดีกว่าการเป็นแค่ช่างไฟฟ้า จึงหันไปร่วมหุ้นทำพลอยกับพี่เขยที่จันทบุรีแทน

“ตอนนั้นเค้าอายุประมาณ 17 ปีได้มั้ง แล้วพี่เขยของเค้าก็ทำพลอยอยู่ที่จันทบุรี ที่นี่เค้าก็เลยอยากที่จะไปทำพลอยร่วมกับพี่เขยของเค้า เพราะเค้าอยากจะมีเงิน มีอนาคตที่ดี ก็เลยต้องย้ายไปอยู่ที่นั่นแทน แต่ว่าพอไปอยู่ที่จันทบุรีจริงๆ แล้วเค้ากลับทำไม่ได้ เพราะว่าเค้าดันเป็นไข้ป่าเป็นไข้มาเลเซียเข้าซะก่อน คือทำพลอยก็ต้องเข้าไปขุดพลอยในป่า แต่พอเอาเข้าจริงเค้าดันมาป่วยหนัก ก็เลยออกมาอยู่ที่ตัวเมือง แล้วก็หันมาขายก๋วยเตี๋ยวแทน

ก็ เป็นช่วงนี้นี่แหละที่เราห่างหายจากกันไปนานอยู่เหมือนกัน ประมาณปีสองปีได้ เพราะเค้าเองก็ไปทุ่มเทกับการค้าขาย ขายก๋วยเตี๋ยว แล้วพี่ลีน่าก็เองก็ต้องขายน้ำตาลสด ขายน้ำเฉาก๊วย ขายน้ำวุ้น น้ำมะพร้าวที่เราทำมาสิบกว่าอย่าง เราก็ไม่มีเวลาไม่มีวันหยุดที่จะมาเจอกันได้เลย มีแค่เบอร์โทร. ติดต่อ ที่ได้แต่โทร.คุยกันบ้างก็แค่นั้นเอง

แล้วก็อย่างที่พี่เล่าให้ฟังไปเมื่อกี้นี่แหละ พอพี่ทะเลาะกับแม่โดนแม่ไล่ออกจากบ้าน คนแรกที่เรานึกถึงก็คือเค้า เราก็เลยตรงดิ่งที่จะไปหาเค้าทันทีเลย และเราเองก็ไม่ได้มีทาง เลือกอื่นด้วย มันก็ไม่รู้ว่าจะหันไปพึ่งใครแล้ว เข้าใจอารมณ์ของคนที่ไม่มีที่จะไปมั้ย

ตอน นั้นที่เราไปอยู่กับเค้า เค้าก็ให้เราไปล้างจาน เพราะเค้าทำอาชีพเป็นพ่อค้าขายก๋วยเตี๋ยวลูกชิ้น ขายเฉพาะช่วงเย็นๆ ถึง 3 ทุ่ม 4 ทุ่ม ตอนนั้นคืนหนึ่งก็ได้วันละ ประมาณ 400 ถึง 500 บาท คือช่วงนั้นก็ยังเรียกว่าเราเองก็ไปแต่ตัว เค้าเองก็ยังฐานะไม่ค่อยดี เรียกง่ายๆ ว่ายังจนอยู่ด้วยกันทั้งคู่แหละ แต่ทำยังไงได้ เราก็ต้องพึ่งพาเค้า เค้าเองก็ดีกับเรามาก ดีมากจริงๆ

ตอนแรกที่ตัดสินใจไปขออยู่กับเค้า เราก็ไม่เคยคิดเอะใจ หรือว่ากลัวว่าจะอยู่กับเค้า ไม่ได้เลยสักนิด ถึงจะรู้ว่าต้องปากกัดตีนถีบ พอไปถึงเราก็ช่วงนั้นขยันมากเลย ช่วยเค้าทำงานทุกอย่าง เหนื่อยแต่ก็ทน เพราะมันมีความรัก ความเห็นใจ และก็อยากที่จะช่วยเหลือกันและกัน แล้วตอนที่พี่ไปอยู่กับสามีพี่ช่วงแรกๆไปอยู่ที่นี้หมายถึงไปขออาศัยอยู่ที่ บ้านเค้า ไปขอข้าว เค้ากินเท่านั้นน่ะ ครอบครัวเค้าก็ไม่ไดัรังเกียจอะไรในตัวพี่ เราก็เลยอยู่ที่นั่นได้ (ยิ้มหวาน)

แต่ว่าผู้หญิงกับผู้ชายพอได้มาอยู่ใกล้กันมันก็เหมือนน้ำมันกับไฟน่ะค่ะ (หัวเราะร่า แววตาเป็นประกาย) แล้วเราสองคนก็มีความรู้สึกดีๆ มีความรักให้แก่กันและกันด้วย อยู่ที่จันทบุรี ได้ไม่นาน พี่ก็ตัดสินใจใช้ชีวิตคู่กับเค้า ในฐานะสามี -ภรรยา ซึ่งเป็นชีวิตรักที่ทุกวันนี้พี่เรียกมันว่ามัน เป็น 16 ปีแห่งความหลัง ทั้งรัก ทั้งชัง ทั้งหวานและข่มขื่น (หัวเราะร่วน) อย่างกับเพลง 16 ปี แห่งความหลัง ของ “คุณสุรพล สมบัติเจริญ” เลย ชีวิตพี่ …อย่างละครน้ำเน่าๆ ที่เค้าว่าเน่ากันนั้นน่ะ ยังเทียบไม่ได้กับชีวิตของพี่ (หัวเราะ) จริงๆ อันนี้พี่พูดจริงๆ ถ้าอยากรู้ว่าชีวิตพี่มันจะเน่าได้ขนาดไหน ลองติดตามอ่านแล้วจะรู้ค่ะ” (ยิ้มหวาน)

แหม! เจ้าตัวเล่นตบท้ายเรื่องราวความรักของเธอไว้ซะน่าตามติดซะขนาดนี้ ฉบับหน้าพลาดไม่ได้เลยนะคะ เราจะเปิดโปงความรักหวานหยดของสามี-ภรรยาคู่นี้ ในช่วงข้าวใหม่ปลามันกับเรื่องราวที่แสนจะทรหดอดทนกับการกัดก้อนเกลือกิน !!!

 

โปรดติดตาม ตอนที่ 3 “กัดก้อนเกลือกิน”  นิยายชีวิต ลีน่า จังจรรจา

Credit: http://fanthai.com/
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...