คลิปนี้มีสองตอน จขกท.ขออนุญาตแปลเป็นภาษาไทย เพื่อจะได้เข้าใจมากยิ่งขึ้น แปลผิดถูกอย่าว่ากันน่ะ และขอเตือนว่าเตรียมผ้าเช็ดหน้าไว้ด้วย เพราะคุณอาจจะต้องเสียน้ำตาเช่นกัน (จขกท.ตาบวมไปแล้ว 1 คน)
คลิปนี้อาจจะค่อนข้างยาวไปนิด แต่หากคุณได้ดูคุณอาจจะไม่ผิดหวังกับมิตรภาพระหว่างคนกับสุนัขคู่กาย ก่อนอื่นของบรรยายเนื้อหาและบทสนทนาในคลิปนี้ก่อน ส่วนคลิปอยู่ใต้คำบรรยายค่ะ
นี่คือชีวิตหนึ่งของสุนัขดูแลคนพิการที่ชื่อว่ากรีเทล กรีเทลเป็นสุนัขที่มีความคล่องแคล่าว และเฉลียวฉลาด มันกลายเป็นสุนัขดูแลคนพิการตัวแรกของญี่ปุ่นเมื่อปี 1995 มันใช้ชีวิตร่วมกับคุณโนกุชิมา 15 ปี สำหรับคุณโนกุชิเจ้ากรีเทลเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา มันดูแลเขาตลอด 24 ช.ม. ตั้งแต่เรื่องที่นอนจนถึงเรื่องการออกไปจับจ่ายข้าวของ กรีเทลช่วยเขาเสมอและมีคุณภาพ
คุณโนกุชิ ป่วยเป็นโรคประหลาดที่ทำให้เขาพิการขา ซึ่งนั่นเป็นอุปสรรคในการดำรงชีวิต แต่กรีเทลช่วยเปลี่ยนชีวิตที่ทุกข์ระทมของเขาให้เป็นความสุข เขามีความสุขทุกครั้งหากมีกรีเทลอยู่เคียงข้าง มันให้ทุกอย่างตามที่เขาต้องการ คุณโนกุชิกลายเป็นคนช่างพูดต่างจากแต่ก่อน คุณโนกุชิกล่าวว่า “ผมไม่เคยเห็นมันเป็นแค่สุนัข หากแต่เห็นมันเป็นเพื่อนซี้และเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายผม มันไม่ใช่เป็นแค่สุนัข แต่มันเป็นสมาชิกในครอบครัวผม”
หลังจากที่กรีเทลพ้นหน้าที่มันก็ยังใช้ชีวิตร่วมกับคุณโนกุชิต่อไป...
แต่กรีเทลอายุ 17 ปีแล้ว เมื่อเทียบอายุของคนก็ 100 ปี มันเดินเป้ และดูอ่อนแอแม้จะนั่งก็ตาม คุณโนกุชิกล่าวทั้งน้ำตาว่า “ผมอยากจะทำทุกอย่างให้มัน อยากช่วยเหลือมัน แต่ผมไม่สามารถแม้จะช่วยเหลือตัวเอง” ตลอดเวลา 15ปีที่มันคอยรับใช้เขา แต่ตอนนี้มันต้องการใครสักคนดูแลมัน อยู่เคียงข้างมัน แต่คุณโนกุชิไม่สามารถทำอะไรได้มากกว่านั้น
เดี๋ยวนี้กรีเทลได้รับความเอาใจใส่จากผู้ดูแลและคุณโนกุชิ สิ่งที่คุณโนกุชิรับรู้คือ กรีเทลร้องไห้ มันเหมือนจะพยายามจะสื่ออะไรบางอย่าง และคุณโนกุชิก็ต้องช่วยมัน
คุณไฮดิ เป็นคนที่มีความสามารถในการรับรู้และสื่อสารกับสัตว์ได้ ไฮดิสามารถเข้าใจว่ากรีเทลพยายามจะสื่ออะไรกับพวกเรา ทันทีที่ไฮติมองที่กรีเทล มันก็ส่งเสียงร้องลั่น จนเธอต้องกล่าวขอโทษ ไฮติบอกว่า เธอไม่สามารถรับรู้ความคิดของมันจากดวงตาของกรีเทลเลยจมูกของมันไวต่อความรู้สึกกับคนรอบตัวมัน โดยเฉพาะคนแปลกหน้า ไฮดิกล่าวกับโนกุชิว่า
“ตอนนี้กรีเทลร้องไห้อยู่ มันพยายามเข้ามาหาคุณ พยายามจะปกป้องคุณทุกอย่าง มันพยายามจะลุกแต่สิ่งที่ทำได้คือร้องเสียงดัง มันพยายามปกป้องคุณจากฉัน” ขณะที่คุณไฮดิอธิบาย โนกุชิร้องไห้อย่างหนักเลยทีเดียว “เด็กดี..เธอพยายามจะปกป้องฉันเหรอ ขอบใจนะ ไม่เป็นไรหรอก” โนกุชิกล่าวกับกรีเทล
เมื่อเจ้าหน้าที่นำสุนัขตัวหนึ่งออกมาอีกห้องหนึ่ง มันชื่อมาร์เบิลที่รับหน้าที่แทนกรีเทลที่พ้นวาระ ไฮดิกล่าวว่า “ฉันคิดว่ากรีเทลคุยกับมาร์เบิลเพื่อความมั่นใจว่าคนในห้องนี้ไม่เป็นอันตราย ให้ตรวจสอบทุกคนด้วย”
หลังจากนั้นมาร์เบิลก็เข้าไปดูทุกคนภายในห้อง และเดินเข้าไปหาไฮดิเธอชมมาร์เบิลว่า “เธอทำหน้าที่ดีมาก” กรีเทลสั่งเสียให้กับมาร์เบิล เพราะนับจากนี้มาร์เบิลจะรับหน้าที่ปกป้องโนกุชิต่อจากมัน เพราะตัวมันเองก็ไม่สามารถไปไหนได้อีกแล้ว โนกุชิกล่าวว่า “ผมไม่เคยคิดเลยว่ากรีเทลจะทำทุกอย่างให้กับผมได้ขนาดนี้ สิ่งที่กรีเทลเป็นอยู่ตอนนี้ ไม่ได้ทำให้ผมไม่พอใจ เพราะมันพ้นหน้าที่ของมันแล้ว ตลอดเวลามันทำเพื่อผมโดยดีตลอด”
ไฮดิพยายามจะสื่อกับกรีเทลอีกครั้ง และก็พูดว่า “มันกังวลเรื่องของคุณ และรู้สึกเศร้ามาก มันบอกว่ามันจะอยู่กับคุณตลอดเวลา ดูเหมือนมันเข้าใจการแสดงออกและความรู้สึกเป็นอย่างดี และมันยังกังวลทุกๆอย่างหลังจากที่มันไม่สามารถทำหน้าที่ของมันได้แล้ว มันรับรู้ความรู้สึกทุกอย่างของคุณได้ มันไม่อยากจะเป็นภาระ” สิ้นคำพูด โนกุชิน้ำตาไหลพรั่งพรูออกมา “มันมีเรื่องจะบอกกับคุณว่า แม้เดี๋ยวนี้ร่างกายมันจะอ่อนแอลง สิ่งสำคัญที่สุดมันสามารถอยู่ปกป้องและเคียงข้างคุณ”
กรีเทลเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายโนกุชิ ไฮดิกล่าวว่า “แม้ตามันไม่สามารถมองเห็น แม้ร่างกายไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ แต่มันยังคงจงรักภักดีต่อโนกุชิเสมอมา กรีเทลบอกว่า มันต้องการเห็นคุณมีใบหน้ามีความสุข” ไฮดิถามโนกุชิว่า “คุณทั้งสองชอบดูเบสบอล” โนกุชิพยักหน้าและเล่าว่า “มีสนามกีฬาใกล้กับสถานที่ที่เราอาศัยอยู่ครั้งสุดท้ายที่เราไปมีไม่กี่ครั้ง” ไฮดิกล่าวต่อไปว่า “ฉันคิดว่ามันพยายามจะบอกกับคุณว่าคุณชอบกีฬาเบสบอล และมันจะกระดิกหางทุกครั้งที่เห็นใบหน้าคุณมีความสุข มันจะมีความสุขมากหากมันเห็นคุณมีความสุข กรีเทลหวังว่าคุณจะมีสุขภาพแข็งแรงและพบเพื่อนที่ดีแบบมันอีกครั้ง”
หลังจากนั้นไฮดิก็มีน้ำตาไหลออกมาเช่นกัน “มันจะอยู่ข้างคุณและหัวใจมันจะอยู่กับคุณตลอด” โนกุชิร้องไห้และจับเท้าของมันเหมือนให้มันรับรู้ถึงความรู้สึกผ่านการสัมผัสและกล่าวขอบใจ