เปิดใจ “แซม” ผู้ชายข้ามเพศ แฟน “นก ยลดา” ผู้หญิงข้ามเพศ

 

 

 

 

 


         “นก ยลดา สวยยศ” มิสอัลคาซ่าร์ปี 2548 ออกมาประกาศว่า ตนเองไม่ใช่กะเทยไม่ใช่ตุ๊ด หากแต่เป็น “ผู้หญิงข้ามเพศ” หรือผู้หญิงที่ถูกกักขังในร่างผู้ชาย


        ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาคำว่า “ผู้หญิงข้ามเพศ-ผู้ชายข้ามเพศ” ก็ถูกเผยแพร่ไปอย่างกว้างขวาง ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นไปได้จริงหรือไม่ ซึ่งที่ผ่านมานกได้ออกมาต่อสู้เรื่องนี้มาโดยตลอดในฐานะนายกสมาคมสตรีข้ามเพศแห่งประเทศไทย พร้อมทั้งผลักดันกฎหมายเพื่อเรียกร้องสิทธิให้เท่าเทียมกัน
       
        ล่าสุดเจ้าตัวกำลังคบหาดูใจกับ “แซม รณกฤต หะมิชาติ” หรือ ธณัชภรณ์ หะมิชาต ผู้ชายข้ามเพศ เล่นเอาหลายๆ คนถึงกับงงนับเพศกันไม่ถูกเลยทีเดียว แต่ขอบอกว่า ถ้าไม่รู้ว่าแซมเคยเป็นผู้หญิงมาก่อน ก็แทบจะดูไม่ออกเลยทีเดียว เพราะมีหนวดมีเคราเสียงแตกร่างกายกำยำไม่แพ้ผู้ชาย


       
        วันนี้เราไปทำความรู้จัก “แซม” กันบ้าง ผู้ชายข้ามเพศคืออะไร กว่าจะมาเป็นชายเต็มตัวเขาต้องเจอกับอะไรบ้าง
       
       “ผมเป็นลูกคนเดียวตอนแรกชื่อ ธณัชภรณ์ หะมิชาติ แล้วก็มาเปลี่ยนเป็น รณกฤต บอกตรงๆ นะครับตั้งแต่จำความได้ ก็รู้สึกว่าตัวเองเป็นผู้ชายแต่อยู่ในร่างผู้หญิง ความรู้สึกมันเริ่มมาเรื่อยๆ ตั้งแต่อนุบาลเวลาที่เราดูหนังก็จะชอบดูผู้หญิงชื่นชมเขา มีอยู่เรื่องหนึ่งที่ จอย รินลณี ศรีเพ็ญ แสดงกับ จอย ศิริลักษณ์ ผ่องโชค ก็รู้สึกชอบประทับใจ แต่ผมว่าเรื่องความชอบมันเป็นเรื่องรสนิยมมากกว่า แต่ความรู้สึกจริงๆ เราคือผู้ชาย ความรู้สึกเราไม่ได้เป็นผู้หญิง ไม่อยากใส่กระโปรง ไม่อยากถักเปีย ของเล่นเราก็เล่นแต่ของเล่นผู้ชาย ชอบชุดทหาร ชอบเล่นเป็นทหาร ชอบดูหนังทหาร ตำรวจ”
       
       “มันสับสนเพราะเขาบอกว่าเราเป็นผู้หญิง เรามีอวัยวะเพศหญิง เรามีเด็กหญิงนำหน้า เราก็ต้องเป็นผู้หญิง แต่ว่าสัญชาตญาณเราเป็นผู้ชายอ่ะ แต่ว่าตอนนั้นถามว่าเรารู้เรื่องไหม เราก็บอกเลยว่าเราไม่รู้เรื่องว่าอะไรเป็นอะไร เพราะว่าสังคมเค้าจะตีกรอบไว้ให้เราเป็นอย่างนี้ๆ”
       
       “อย่างเช่น กะเทย บางทีจริงๆ เขาอาจเป็นผู้หญิงจริงๆ ก็ได้ ความคิดเขาสัญชาตญาณเค้า แต่สังคมไปตีกรอบว่าเขาเป็นกะเทย เขาก็ต้องจำนนยอมรับคำว่ากะเทย เข้าไป แต่จริงๆ เขาก็เป็นผู้หญิง ซึ่งสังคมก็ไม่เข้าใจ ตอนเด็กๆ เขาบอกว่าเราเป็นทอม เราก็ยอมจำนนว่าเราเป็นทอม ทอมก็คือผู้หญิงที่บุคลิกเป็นผู้ชาย”


       
        เริ่มต่อต้านเพศตัวเอง ไม่ชอบหน้าอก ไม่ชอบอวัยวะเพศหญิง ถึงขั้นลาออกจากโรงเรียนเพราะไม่อยากใส่กระโปรง
       “ผมเรียนชั้นประถมที่โรงเรียนเซนต์หลุยส์ ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นโรงเรียนสห ตอนนั้นก็รู้แน่วแน่ว่าตัวเองจะเป็นผู้ชายไม่ใช่ผู้หญิงความคิดเริ่มต่อต้านเพศตัวเองชัดเจนตอน ม.ต้นนี่แหละ เพราะอึดอัดเห็นหน้าอกตัวเองก็ไม่ชอบ ต้องเอาสเตย์มารัด ไม่อยากใส่กระโปรง ไม่อยากมีอวัยวะเพศหญิง ไม่อยากไว้ผมยาวจนแหกกฎระเบียบของโรงเรียนตัดผมสั้นคล้ายผู้ชาย จนอาจารย์ต้องเรียกผู้ปกครองมาพบบ่อยๆ”
       
       “มันอึดอัดพอจบ ม.ต้น จึงตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน ไม่ยอมเรียนต่อ ม.ปลาย เพราะไม่อยากอยู่ในสภาพที่เป็นผู้หญิงที่ต้องใส่กระโปรงเรียน หลังจากลาออกก็ตั้งหน้าตั้งตาทำงานหาเงินด้วยตัวเอง ทั้งเป็นดีเจ รับตัดต่อวิดีโอ ตัดต่อรูป มิกซ์เพลง ทำเพลง รวมถึงเคยไปทำงานเป็นเลขาฝ่ายขาย และก็เรียนศึกษาผู้ใหญ่ปัจจุบันผมเรียนปี 2 รามอินเตอร์ คณะ B.A.(Mass Communication) สื่อสารมวลชน ก็ทำงานไปด้วยเรียนไปด้วย เพื่อเก็บเงินไว้ผ่าตัดแปลงเพศตามต้องการ”
       
       ซวย! ถูกขังในร่างผู้หญิง เริ่มศึกษาแปลงเพศตั้งแต่ ป.5-6
       “ตอนนั้นผมยังไม่รู้ว่ามีการแปลงเพศ ก็หาข้อมูลมาตั้งแต่ ป.5-6 จนมาอายุ 17 ก็ได้ข้อมูลจาก FTM เรื่องการบำบัดรักษา FTM คือ Female to Male ผู้หญิงที่ข้ามไปเป็นผู้ชาย Gender identity disorder ก็คือเพศกำเนิดไม่ตรงกับเอกลักษณ์ทางเพศของเรา เขาจะ identity ว่า คนที่ถูกขังอยู่ในร่างที่ผิด อย่างผมนี่ก็เหมือนถูกขังในร่างผู้หญิง ของผู้หญิงก็ถูกขังในร่างผู้ชาย มันเหมือนคนหนึ่งที่เกิดมาซวย และเราก็ต้องจำยอมมาอยู่ในสภาวะซึ่งตรงนั้นมันก็ไปหาหมอเพื่อรับการฝึกบำบัด บำบัดเนี่ยไม่ได้เหมือนโรคจิตนะ มันเป็นคำศัพท์ของแพทย์ครับ ที่เราต้องได้ยาหรือว่าต้องการผ่าตัดทางเพศ เพื่อกลับไปเป็นให้ตรงกับจิตใจและสัญชาตญาณของตัวเอง”


       
        อายุ 20 เก็บเงินได้ 2 แสน จัดการตัดนม ผ่ามดลูก แล้วก็เย็บปิดตายช่องคลอด
       “พอศึกษาเยอะเข้าก็ทำให้เรารู้อะไรมากขึ้น ก็ตั้งใจไว้เลยว่าพอโตมาเรามีตังค์จะไปตัดออก ตั้งเป้าแล้วเก็บหอมรอมริบมาเรื่อยๆเริ่มขั้นแรกเลยผมจะเทคฮอร์โมนผู้ชายก่อน เทคมาตั้งแต่ 17 ผมไปทำที่โรงพยาบาลจุฬาฯ เข้าไปรับฮอร์โมนที่จุฬาฯไปแต่ตีสี่ตีห้า เขาจะให้ปรึกษาหมอจิตแพทย์ว่าเราต้องการอะไร เขาก็จะดูว่าเราเป็น GID ไหม คือ Gender identity disorder คือการบำบัดโดยการเทคยา หมอเค้าก็จะนัดมาครับ 2 อาทิตย์ครั้ง เพื่อมาฉีดยากับคุณหมอ คือทุกอย่างต้องอยู่ในการดูแลของแพทย์หมด ไม่ใช่ว่าอยู่ดีๆ มีทอมคนหนึ่งแค่อยากมีหนวดมีเคราแล้วเข้าไปทำ แต่ผมอยากมีอวัยวะแบบผู้ชายทุกอย่าง เพราะมันคือเครื่องเพศของเรา เรายืนฉี่ได้ เราแฮปปี้”
       
       “หมอก็ให้เป็นยาฉีดครับ ฉีดฮอร์โมนเป็น 1 CC.เป็นฮอร์โมนเพศชายครับ แล้วก็ฉีดมาเรื่อยๆ เดือนละ 2 ครั้ง อาทิตย์เว้นอาทิตย์ หลังจากฉีดก็ทำให้เสียงแตก ฮอร์โมนก็จะช่วยไปปรับเรื่องอัตลักษณ์ทางเพศที่เป็นผู้ชายครับ ทำให้มีหนวดมีเครา โครงหน้าเราก็เปลี่ยน กรามเราก็ขึ้น คือทุกอย่างเราก็เปลี่ยนไปตามเป็นผู้ชายเกือบหมด ก็เหมือนจะเป็นผู้ชายคนหนึ่ง แต่ว่าจริงๆ แล้วพันธุกรรมกับฮอร์โมนมันต้องไปด้วยกัน บางคนเทคมา 3 ปี หนวดไม่ขึ้นก็มี เพราะว่าอาจจะมีพ่อแม่เป็นคนจีนไม่ค่อยมีขน ของผมเนี่ยเทคมาประมาณ 1 เดือน เสียงแตกแล้ว อีก 3 เดือนเคราก็เริ่มขึ้นแล้ว ตอนนี้ผมเทคมาได้ 3 ปีกว่า”
       
       “พอเทคไป 2 ปี อายุ 20 ผมก็เก็บตังค์ได้จำนวนหนึ่ง ผมก็ไปผ่าตัดหน้าอกทิ้ง ตัดมดลูกครับ และก็เย็บปิดช่องคลอด การเย็บปิดช่องคลอดมันเป็นการเย็บปิดจากข้างใน บางคนอาจจะคิดว่าเป็นการเย็บปิดข้างนอก แต่เค้าจะเย็บจากข้างในเข้ามาข้างนอก คือว่าเค้าจะเย็บหมดเลย ก็หนักอยู่เหมือนกันเข้าโรงพยาบาลหลายอาทิตย์อยู่ ส่วนผ่าหน้าอกแป๊บเดียว เข้าไปประมาณไม่กี่ชั่วโมง แต่ว่าเราจะหลับเพราะยานอนหลับไง มันก็จะมีฤทธิ์เบลอๆ ผ่ามดลูกก็พักฟื้นประมาณอาทิตย์กว่าเกือบสองอาทิตย์ แผลข้างในก็จะค่อยๆ สมานกัน เป็นการผ่าเป็นกล้องเจาะเข้าไป เป็นกล้องเป็นรอยจุดๆๆ แต่ว่ามันจะมีหลายแบบ ถ้าเป็นมดลูกมีการผ่าแผลประมาณ 10 เซนฯ แล้วก็จะมีการส่องกล้อง อันนี้ก็จะเป็นแค่รูเป็นรูเจาะอย่างเดียว หมอก็จะใช้กล้องมันก็จะเล็กกว่าเยอะพอเราตัดแล้วก็มาเย็บปิด”
       
       “ตอนนี้เตรียมจะแปลงเพศแล้วแต่ว่ายังไม่ได้ปั้นองคชาต ต้องรอเก็บตังค์ก่อนแป๊บนึงครับ หน้าอกผ่าไป 6 หมื่น ตัดมดลูก 6 หมื่น เกือบ 7 หมื่น เย็บติดปากช่องคลอดประมาณ 9 หมื่น นี่ถ้ารวมปั้นองคชาตอีกก็เกือบ 5 แสนครับ แพงมาก”


       
        ยอมเป็นมะเร็งตาย! ดีกว่ามีมดลูก อย่างน้อยก็ตายในร่างผู้ชาย
       “ผมต้องเทคฮอร์โมนเหมือนเดิมตลอดชีวิต ประจำเดือนไม่มีครับ ตั้งแต่เทคฮอร์โมนประจำเดือนจะหยุดก็คือจะไม่มี ก่อนหน้านี้ก็มีปกติครับก็ไม่ชอบนะ ผมเคยคิดเลยว่าพอเทคฮอร์โมนมาแล้วถ้าต้องกลับไปมีประจำเดือนอีกผมตายแน่ ผมจะอยู่ได้ยังไงวะ รับไม่ได้อ่ะ ผู้ชายอะไรมีประจำเดือน ทุกวันนี้แม่ก็รู้ว่าเราไม่มีประจำเดือนแล้ว เมื่อก่อนแม่จะซื้อผ้าอนามัยมาให้ แต่หลังๆ ไม่เคยเห็นเราใช้หลังๆ เขาก็ไม่ซื้อผ้าอนามัยมาให้อีกเลย”
       
       “แต่การที่ผมไม่มีประจำเดือนมันก็มีผลนะครับ เพราะฉะนั้นการที่คุณจะเทคฮอร์โมนคุณต้องแพลนอนาคตล่วงหน้าด้วยว่าคุณต้องการไปทางทิศไหน เช่น คุณเทคฮอร์โมนอีก 3-4 ปี คุณต้องเอามดลูกออกแน่ๆ หรือว่าคุณรีบเอาออกตั้งแต่ปีสองปีแรก เพราะว่ามันเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งมดลูก เพราะการเทคฮอร์โมนเนี่ยมันไปขัดไปทำให้มดลูกรังไข่เราไม่มีประจำเดือน ไข่มันไม่ตกตามฤดูกาลของมัน มันก็จะมีผลด้วย ถ้าจะเทค 1.เราก็ต้องยอมแลก อย่างผมเนี่ยผมเคยคิดไว้เลยขอให้ได้เทคเถอะ จะตายยังไงก็ยอมวะ เป็นมะเร็งกูก็เอาวะ แต่ว่าขอให้ได้เป็นผู้ชายเหอะ ให้ตายในร่างกายผู้ชายผมยอม”
 
        ทุกวันนี้พูด “ผม-ครับ” เพราะมีหนวดมีเคราแล้วมั่นใจ
       “ผมโชคดีครับที่ครอบครัวรับได้แต่ต้นเลย แต่เขาก็ยังคิดว่าเราเป็นผู้หญิง เราก็ต้องพยายามอธิบายให้เขาเข้าใจ เขาเพิ่งเชื่อว่าเราไม่ใช่ผู้หญิงเมื่อ 2-3 ปีที่ผ่านมา เพราะเสียงเราแตก เรามีหนวดมีเครา แล้วก็เราเปิดเผยมากขึ้น เมื่อก่อนเราทำอะไรต้องเกรงใจ ต้องพูดค่ะกับทางญาติบ้าง ตอนนี้เราพูดครับพูดผม สั่งอาหารปุ๊บขอเมนูให้แม่ผมหน่อยครับ อะไรอย่างเนี้ย คือเราจะกล้าพูดครับกล้าพูดผม”
       
       “ที่กล้าพูดเพราะว่ามันเป็นส่วนหนึ่งที่คุณภาพชีวิตเราดีขึ้น หลังเราเทคฮอร์โมนคือเรามีหนวดมีเครา เราเป็นอย่างที่เราอยากเป็นไม่ต้องอายแล้ว ถ้าถามว่าช่วงเมื่อก่อนผมอายไหม ผมอายเพราะผมไม่อยากให้ใครมาเรียกว่าทอมนะ เพราะเราเป็นผู้ชายอ่ะ เรารู้สึกว่าเราเป็นผู้ชาย เราก็ต้องกลับไปเป็นผู้ชายให้ได้ให้เร็วที่สุด ถ้าเราไม่ได้ผมคิดว่าผมเองก็คงอึดอัดไม่พอใจกับชีวิตความเป็นอยู่ มันจะไม่มีความหวังและกำลังใจที่จะทำอะไรต่อไป และตรงนี้มันเป็นการพัฒนาการคุณภาพชีวิตของผมได้เยอะมาก มีความมั่นใจขึ้น”


   ......................................................

ปล. บทสัมภาษณ์อาจยาวไปหน่อย แต่ไม่ขอตัดทอน เพราะถ้าย่อแล้วอาจจะสื่อสารผิดได้

Credit: http://women.postjung.com/675609.html
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...