รวมสัตว์ลึกลับในโลก (SEA)


เรื่อง เล่าขานของอสุรกายใต้ท้องทะเลในโลกนี้ คงไม่มีเรื่องใดจะสร้างความพรั่นพรึงให้ลูกทะเลอย่างเรื่องของ Kraken อีกแล้ว จากเรื่องเล่าขาน เจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนี้มีขนาดมหึมา มีหนวดใหญ่ยุ่บยั่บ โผล่ขึ้นจากน้ำพรวดเดียวก็สูงกว่าเสากระโดงเรือ เจ้า Kraken ชอบที่จะโจมตีเรือเดินสมุทรอย่างกระทันหัน โอบหนวดของมันรัดลำเรือเอาไว้ หนวดที่เหลือมันจะรัดลูกเรือจนกระดูกแหลกเหลว บ้างก็รัดเข้ามาป้อนเข้าปากอันน่ากลัวของมัน เห็นไหมล่ะครับว่า ในบรรดาเรื่องเล่าเกี่ยวกับสัตว์ยักษ์ใต้สมุทร คงไม่มีเรื่องใดจะน่าสยดสยองเท่าความดุร้ายของ Kraken อีกแล้ว

เรื่อง ราวของ Kraken อสูรร้ายอันโด่งดังจากทะเลเหนือ ที่จมเรือเดินสมุทรไปนักต่อนัก ก็คงมีพื้นฐานมาจากเจ้าปลาหมึกยักษ์นี่เองล่ะครับ จากสถิติที่เคยบันทึกกันไว้ ปลาหมึกยักษ์ที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ค้นพบ ถูกชาวประมงสามคนพบเห็นใน Timble Tickle เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ปี ค.ศ. 1878 ขณะนั้นพวกเขาหาปลาอยู่ไม่ห่างจากชายฝั่งมากนัก หนึ่งในนั้นสังเกตว่ามีซากอะไรบางอย่างกระจุยกระจายอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก เมื่อเข้าไปสำรวจใกล้ๆพวกเขาก็พบกับรูปร่างที่แท้จริงของเจ้าซากนั้น ปลาหมึกยักษ์นั่นเอง...

พวกเขาใช้สมอเรือต่างเชือกมัด และพยายามสุดฤทธิ์ที่จะลากเจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนั้นขึ้นบนฝั่ง น่าแปลกที่กล้ามเนื้อบางส่วนของปลาหมึกยักษ์นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ชาวประมงทั้งสามลากมันขึ้นไปบนบกและปล่อยให้ปลาหมึกแห้งตาย หลังจากเฝ้ารออยู่นานและแน่ใจว่าสัตว์ยักษ์ตัวนี้สิ้นฤทธิ์ไปแล้ว พวกเขาก็พากันมาวัดขนาดและตัดเอาบางส่วนของเนื้อมันไปเป็นอาหารหมา จากหัวจรดหางของเจ้าปลาหมึกยักษ์มีความยาว 20 ฟุต หนวดเส้นที่ยาวสุดยาวถึง 35 ฟุต ซึ่งยุ่บยั่บไปด้วยเขี้ยวแหลมคมที่มีขนาดถึง 4 นิ้ว ดังที่กล่าวไปแล้วว่า อาหารโปรดของปลาหมึกยักษ์นั้นคือปลาวาฬเสปิร์ม เคยมีพนักงานประภาคารในแอฟริกาใต้สองคน เห็นการล่าเหยื่ออันน่าสยดสยองนี้กับตา เมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1966 พวกเขากล่าวว่าเขาเห็นปลาหมึกยักษ์ตรงเข้าจู่โจมปลาวาฬเสปิร์มหนุ่ม การต่อสู้ตามธรรมชาติดำเนินไปถึงชั่วโมงครึ่ง และจบลงด้วยชัยชนะของนักล่า "เราคงไม่มีโอกาสเห็นปลาวาฬตัวนั้นอีกแล้วชั่วชีวิต" เจ้าหน้าที่หนึ่งในสองเอ่ยขณะให้สัมภาษณ์

เรื่องของ Kraken ถูกเล่าขานมานานเท่าใดไม่ปรากฏ แต่บันทึกที่เป็นหลักฐานครั้งแรก มาจากนอร์เวย์ครับ เป็นเรื่องราวที่อ้างถึงสิ่งมีชีวิตขนาดเท่าเกาะ ในหนังสือชื่อ The Natural History of Norway ที่เขียนโดยบิชอปแห่งเบอร์เก้น Erik Ludvigsen Pontoppidan ท่านได้บรรยายเกี่ยวกับ Kraken เอาไว้ว่า มันเปรียบเสมือนเกาะลอยน้ำขนาดย่อม ขนาดความยาวลำตัวยาวถึงครึ่งไมล์ อะไรมันจะขนาดน้าน จริงไหมครับ? แต่เรื่องราวในช่วงถัดมาเกี่ยวกับคราเก้นก็ค่อยๆลดขนาดของมันลงเรื่อยๆ ไม่มหึมาโอฬาริกอย่างในอดีต ถึงกระนั้นก็ยังจัดเป็นสัตว์ไซส์ยักษ์อยู่ดีครับ

Kraken ในตำนานของ ทะเลเหนือ ในสายตาของนักชีววิทยาแล้ว มันคงเป็นสัตว์ประเภทปลาหมึกยักษ์เสียมากกว่าครับ ลักษณะของปลาหมึกชนิดนี้มักจะก้าวร้าวรุกราน และขึ้นมาหาเหยื่อเหนือผิวน้ำเมื่อแลเห็นมนุษย์ ขนาดของมันไม่ถึงกับยาวกว่าครึ่งไมล์ตามบันทึกของท่านบิชอปหรอกนะครับ ถึงกระนั้นขนาดของมันก็สูสีกับสัตว์ที่ตัวใหญ่ที่สุดในโลก คือปลาวาฬเสปิร์มอยู่ดี ในปี 1930 มีรายงานการโจมตีเรือของเจ้าปลาหมึกชนิดดังกล่าว นักชีววิทยาและผู้ชำนาญการคาดว่า เจ้า Kraken (หรืออาจจะเป็นปลาหมึกยักษ์ Giant Squid) นี้โจมตีเข้า เพราะเรือของมนุษย์เราดันไปมีรูปร่างคล้ายปลาวาฬ อาหารหลักของเจ้าปลาหมึกนี่เอง

จากรายงานของผู้ประสบเหตุ ปลาหมึกดังกล่าว มีขนาดมหึมากันเหลือเกินครับ โดยเฉลี่ยมันจะยาวประมาณ 100 ฟุต น้ำหนักประมาณ 2-3 ตัน ยังกะก็อตซิลล่าทะเลแน่ะ นึกภาพออกไหมครับว่า ถ้าเรือเดินสมุทรโดนสัตว์ยักษ์ทรงพลังขนาดนี้เข้าโจมตีแล้ว อะไรมันจะไปเหลือ และบริเวณที่เกิดเหตุส่วนมาก จะเกิดกับเรือเดินทะเลที่ข้ามมหาสมุทรแอตแลนติคครับผม....

มาดู เรื่องของปลาหมึกยักษ์ อันน่าจะเป็นต้นตอของตำนาน Kraken กันบ้างดีไหมครับ? ปลาหมึกขนาดใหญ่ที่สุด เท่าที่เรารู้จักกันในระดับที่สารบบชีววิทยายอมรับอย่างเป็นทางการ เป็นปลาหมึกที่อยู่ในตระกูล Architeuthis ซึ่งหาผู้พบเห็นได้น้อยมาก และปัจจุบัน เรายังไม่ทราบลักษณะการดำรงชีวิตของมันเท่าไรนัก

ปลา หมึกยักษ์จริงๆแล้วไม่ใช่สัตว์ตระกูลปลานะครับ เป็นพวก mollusks หรือหอยที่กินเนื้อเสียมากกว่า มีรูปร่างคล้ายๆกับภาพจำลองด้านขวามือนั่นแหละครับ ยาวแหลมเป็นตอปิโดเชียว มันมีปากที่แข็งแรงพอที่จะกระชากเคบินเรือที่ทำจากเหล็กกล้า ให้กระจุยเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อยได้ หนวดทั้งห้าของมันนั้นมีอยู่เส้นหนึ่ง ที่ยาวและเพรียวกว่าเส้นอื่นๆ มีหน้าที่จับอาหารและป้อนเข้าสู่ปากอันน่าพรั่นพรึง ถัดจากปากก็เป็นลูกกะตาล่ะครับ ถือว่าเป็นตาที่ใหญ่ที่สุดในบรรดาตาของสิ่งมีชีวิตทีเดียวเลย เพราะมันมีเส้นผ่านศูนย์กลางถึง 18 นิ้ว

ปลาหมึกทุกประเภทเคลื่อนที่ ด้วยการพ่นน้ำ ทำนองเดียวกับเครื่องยนต์เจ็ทล่ะครับ แต่เปลี่ยนจากเชื้อเพลิงมาเป็นน้ำแทน พวกมันท่องเที่ยวหาอาหารไปเรื่อยๆ กินปลา, ปลาหมึกด้วยกัน, และร้ายที่สุดก็คือ กินปลาวาฬครับอาหารโปรดเค้าเลย

เปรียบเทียบขนาด กับสิ่งที่เราคุ้นเคยครับ "ยักษ์" สมชื่อดีไหม?

เรื่อง ราวของ Kraken อสูรร้ายอันโด่งดังจากทะเลเหนือ ที่จมเรือเดินสมุทรไปนักต่อนัก ก็คงมีพื้นฐานมาจากเจ้าปลาหมึกยักษ์นี่เองล่ะครับ จากสถิติที่เคยบันทึกกันไว้ ปลาหมึกยักษ์ที่ขนาดใหญ่ที่สุดเท่าที่ค้นพบ ถูกชาวประมงสามคนพบเห็นใน Timble Tickle เมื่อวันที่ 2 พ.ย. ปี ค.ศ. 1878 ขณะนั้นพวกเขาหาปลาอยู่ไม่ห่างจากชายฝั่งมากนัก หนึ่งในนั้นสังเกตว่ามีซากอะไรบางอย่างกระจุยกระจายอยู่ไม่ไกลจากพวกเขานัก เมื่อเข้าไปสำรวจใกล้ๆพวกเขาก็พบกับรูปร่างที่แท้จริงของเจ้าซากนั้น ปลาหมึกยักษ์นั่นเอง...

พวกเขาใช้สมอเรือต่างเชือกมัด และพยายามสุดฤทธิ์ที่จะลากเจ้าสัตว์ยักษ์ตัวนั้นขึ้นบนฝั่ง น่าแปลกที่กล้ามเนื้อบางส่วนของปลาหมึกยักษ์นั้นยังคงมีชีวิตอยู่ ชาวประมงทั้งสามลากมันขึ้นไปบนบกและปล่อยให้ปลาหมึกแห้งตาย หลังจากเฝ้ารออยู่นานและแน่ใจว่าสัตว์ยักษ์ตัวนี้สิ้นฤทธิ์ไปแล้ว พวกเขาก็พากันมาวัดขนาดและตัดเอาบางส่วนของเนื้อมันไปเป็นอาหารหมา จากหัวจรดหางของเจ้าปลาหมึกยักษ์มีความยาว 20 ฟุต หนวดเส้นที่ยาวสุดยาวถึง 35 ฟุต ซึ่งยุ่บยั่บไปด้วยเขี้ยวแหลมคมที่มีขนาดถึง 4 นิ้ว

ดังที่ กล่าวไปแล้วว่า อาหารโปรดของปลาหมึกยักษ์นั้นคือปลาวาฬเสปิร์ม เคยมีพนักงานประภาคารในแอฟริกาใต้สองคน เห็นการล่าเหยื่ออันน่าสยดสยองนี้กับตา เมื่อเดือนตุลาคม ปี ค.ศ. 1966 พวกเขากล่าวว่าเขาเห็นปลาหมึกยักษ์ตรงเข้าจู่โจมปลาวาฬเสปิร์มหนุ่ม การต่อสู้ตามธรรมชาติดำเนินไปถึงชั่วโมงครึ่ง และจบลงด้วยชัยชนะของนักล่า "เราคงไม่มีโอกาสเห็นปลาวาฬตัวนั้นอีกแล้วชั่วชีวิต" เจ้าหน้าที่หนึ่งในสองเอ่ยขณะให้สัมภาษณ์

อย่าว่าแต่ลูกปลาวาฬ แรกรุ่นเลยครับ ขนาดปลาวาฬเสปิร์มตัวที่โตเต็มที่หนักราว 40 ตัน ก็ยังเสร็จปลาหมึกยักษ์มาแล้ว เรื่องนี้ถูกรายงานโดยนักล่าปลาวาฬชาวรัสเซีย เมื่อปี 1965 พวกเขาพบปลาวาฬเสปิร์มตัวหนึ่งลอยเท้งเต้งแบบแปลกๆ จึงเข้าไปสำรวจดูในระยะใกล้ และพบว่ามันตายเสียแล้ว รอบตัวของมันถูกรัดด้วยหนวดของปลาหมึกยักษ์ ทว่าเจ้าปลาหมึกตัวดีก็ตายแล้วเช่นกันครับ มีคนพบหัวของมันอยู่ในกระเพาะปลาวาฬเสียด้วย นี่ล่ะมั้ง ที่เค้าเรียกว่าชีวิตแลกชีวิต

เป็นโชคร้ายของนักวิทยาศาสตร์ แต่ก็นับเป็นโชคดีสำหรับชีวิตมนุษย์มาก เพราะเราไม่ค่อยจะมีโอกาสได้เผชิญกับเจ้าปลาหมึกยักษ์เหล่านี้มากนัก เพราะตามธรรมชาติของปลาหมึกยักษ์ มันชอบที่จะอาศัยอยู่ตามน้ำลึกและบริเวณน้ำที่มีอุณหภูมิต่ำเอามากๆมากกว่า จากงานวิจัยของ Dr. Ole Brix แห่งมหาวิทยาลัย Bergen ได้รับผลจากการวัดเลือดของปลาหมึกยักษ์ว่า เลือดของมันฟอกออกซิเจนได้ไม่ดีในที่ๆอุณหภูมิสูงปลาหมึกยักษ์มักจะหายใจไม่ ออกและขาดอากาศหายใจเอาได้ง่ายๆ หากต้องอยู่ในบริเวณที่ความกดต่ำและอุณหภูมิสูงนานๆ อุณหภูมิยังมีผลกระทบเกี่ยวกับการลอยตัวของปลาหมึกยักษ์ในน้ำด้วยนะครับ น้ำอุ่นๆมักจะทำให้สัตว์มหึมาเหล่านี้ลอยตัวขึ้นมาสู่เบื้องบนและหมดปัญญา ที่จะดำกลับลงไปยังจุดปลอดภัยได้ตามเดิม ยิ่งร้อนเท่าไหร่ โอกาสที่ปลาหมึกยักษ์จะขาดออกซิเจนและตายก็ยิ่งมีมากขึ้นเท่านั้น ส่วนใหญ่ ในบริเวณที่พยานได้พบเห็นปลาหมึกยักษ์กัน มักจะเป็นบริเวณที่กระแสน้ำอุ่นกับกระแสน้ำเย็นมาตัดกัน ซึ่งจุดนั้น จะเป็นจุดที่ปลาหมึกยักษ์ปรับตัวไม่ทัน และเผอิญโผล่ขึ้นมา ให้ประชาชียลโฉมกันด้วยความพรั่นพรึงเล่นบ่อยๆด้วย

แล้วขนาดโตเต็ม ที่ของปลาหมึกยักษ์เหล่านี้ จะเติบโตได้สูงสุดขนาดไหนกันนะ? บางท่านอาจถามในใจอยู่แบบนี้ นักชีววิทยาก็ยังให้คำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ เพราะปัจจุบัน เราก็ยังรู้เรื่องเกี่ยวกับมันน้อยมาก ไม่แน่ว่า ตัวเต็มที่ที่มีอายุเยอะๆของปลาหมึกยักษ์ อาจจะมีขนาดที่ใหญ่โตเกินกว่าจินตนาการของเราก็ได้ ลองมาฟังเรื่องของ A. G. Starkey หนึ่งในลูกเรือเดินสมุทรที่บังเอิญพบเห็นมัน ขณะโดยสารเรือข้ามมหาสมุทรอินเดียดูสิครับ

"มันลอยเทียบขนานมากับลำ เรือ" เขากล่าว "ผมไม่แน่ในทีแรกว่า เสิ่งี่ผมเห็นนั้นมันคืออะไรกันแน่ มันเรืองแสงได้ครับ คล้ายๆกับสัตว์ประเภทปลาหมึก ตอนนั้นผมตกใจและนึกถึงคำเล่าขานของชาวเรือขึ้นมา ผมลองเดินจากอีกด้านของดาดฟ้าเรือ ไปจนกระทั่งถึงปลายสุดอีกข้างของร่างที่เรืองแสงได้นั้น มันแทบจะสุดลำเรือเลยทีเดียว... ขอบคุณพระเจ้า ที่มันไม่นึกสนุกอยากจะปล้ำกับเรือโดยสารของเราขึ้นมา" A. G. Starkey กล่าวทิ้งท้ายไว้ในที่สุด

ครับ.. คงต้องขอบคุณพระเจ้าอย่างที่เขาว่า เพราะลงถ้าตัวของมันยาวแทบจะเท่าลำเรือขนาดนั้นแล้วล่ะก็ เกิดโดนโจมตีขึ้นมา ก็นึกภาพไม่ออกล่ะครับ ว่าบรรดาลูกเรือทั้งหลาย ใครจะมีโอกาสรอดได้บ้าง ก็เรือลำนั้นความยาวตลิดลำตั้งร้อยกว่าฟุตนี่ครับ บรื๋อ... พูดแล้วสยอง


ตัวที่ 2 Mokele Mbembe สัตว์ลึกลับผู้หยุดสายน้ำ

คราว นี้จะพาไปติดตามเรื่องของสัตว์ประหลาดชนิดหนึ่งหรือสายพันธ์หนึ่ง ซึ่งจะว่าไปมันก็ไม่ใช่สัตว์ประหลาดเสียทีเดียว เอาเป็นว่าเป็นสัตว์ลึกลับที่ยังไม่ปรากฏหลักฐานในการมีชีวิตอยู่บนโลกนี้ อย่างเป็นชิ้นเป็นอัน หรือว่าแบบชัดเจนละกัน เจ้าสัตว์ลึกลับนี้ก็คือ "Mokele Mbembe" หรือในความหมายว่า "ผู้หยุดสายน้ำ"

ตามหลักฐาน บันทึกการมีอยู่ (ถ้ามันมีตัวตนอยู่จริง) ของเจ้าสัตว์ชนิดนี้ตามที่ทางชาวตะวันตกเค้าได้บันทึกเอาไว้เป็นครั้งแรก นั้นก็เมือเมื่อปี ค.ศ.1776 น่ะครับ เป็นบันทึกของบาทหลวงชาวฝรั่งคนหนึ่งที่ชื่อ Lievain Proyart ซึ่งได้บันทึกสถานที่ที่เห็นเจ้า Mokele Mbembe เอาไว้ว่าอยู่ในประเทศคองโกทวีปแอฟริกา ซึ่งได้เจอโดยบังเอิญตอนท่านเข้าไปเผยแพร่ศาสนาแก่ชนพื้นเมืองที่นั่น ตามบันทึกของบาทหลวงผู้นี้ได้บรรยายลักษณะของเจ้าสัตว์ประหลาดตัวนี้ว่า ไม่เหมือนกับบรรดาสรรพสัตว์ที่ท่านเคยเห็นมาก่อน และดูเหมือนมีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ในยุคสมัยก่อนประวัติศาสตร์มากกว่า และได้บรรยายถึงลักษณะของรอยเท้าที่อยู่บนดินที่มีรอยกรงเล็บของมันเอาไว้ ด้วยว่ามีขนาด 3 ฟุตที่วัดโดยรอบ ก็นับว่าเป็นจุดกำเนิดให้กับเรื่องเล่าขานจากสัตว์ลึกลับที่คองโกเลยทีเดียว ต่อมาในปี ค.ศ.1909 นาย Paul Gratz ก็ได้บันทึกเรื่องราวถึงลักษณะของเจ้าสัตว์นี้เช่นกันเมื่อเขาได้เห็นมัน เข้า "มันอาจจะดูคล้ายกับจระเข้ตัวโตมากแต่ว่าไม่ใช่อย่างแน่นอน ผิวหนังของมันไม่มีเกล็ดเลยและเท้าก็มีกรงเล็บอยู่ทั้งสี่ข้าง" ซึ่ง Paul เล่าว่าได้เห็นมันขณะที่มันว่ายน้ำอยู่ในบึงที่ใกล้กับทะเลสาบ Bangweulu ที่ประเทศแซมเบีย (Zambia) ซึ่งเขาตั้งชื่อเจ้าสัตว์ตัวนี้ว่า nsanga

มา ต่อกันที่ปี ค.ศ.1920 ในปีนี้ข่าวของเจ้า Mokele Mbembe ก็ได้กระจายเพิ่มมากขึ้นและมีการตั้งคณะออกค้นหามันกันอย่างมากมาย เรียกได้ว่าเป็นยุคทองของเจ้าสัตว์ตัวนี้หรือชนิดนี้กันเลยทีเดียว จนถึงขนาดมีการตั้งสมาคมขึ้นมาเพื่อค้นหาโดยเฉพาะก็มี รวมไปถึงข่าวลือและรายงานการพบเห็นปลอมก็ออกมาอย่างมากมายเช่นกัน แต่ก็เหมือนเดิมครับยังไม่มีข่าวหรือว่าหลักฐานอะไรเพิ่มเติมมากไปกว่า รายงานการพบเห็น และหลายคณะที่ออกค้นหาก็ได้มีการยอมแพ้และล้มเลิกไปตามๆ กัน จนกระทั่งแทบจะลืมเรื่องราวของมันไปจนกระทั่งในปี ค.ศ.1948 เมื่อนักสัตววิทยา Ivan T. Sanderson ได้เขียนรายงานออกมาอีกครั้ง เกี่ยวกับการตามรอยสัตว์ที่ไม่สามารถระบุชนิดได้ที่มีลักษณะคล้ายไดโนเสาร์ หรือก็คือเจ้า Mokele Mbembe นั่นเอง ทำให้มีการจุดประกายในการออกตามหากันขึ้นมาอีกครั้ง

ต่อมาในปี ค.ศ.1960 ผู้เชี่ยวชาญด้านสัตว์เลื้อยคลาน James H. Powell Jr. ก็มีความสนใจในตัวเจ้า Mokele Mbembe เช่นกัน และเริ่มออกค้นหาครั้งแรกในปี 1972 และครั้งต่อมาในปี 1976 ก็ได้หลักฐานและรูปถ่ายของร่องรอยของมันมากขึ้น และกับการสำรวจอีกครั้งในปี 1980 คราวนี้มีนักสัตววิทยา Roy P. Mackal เดินทางไปด้วยและได้พบรายงานของการพบเห็นและข้อมูลอย่างมากมายที่บริเวณ ทะเลสาบ Tele บางรายงานกล่าวว่ามันมีขนาดความยาวจากคอหางประมาณ 25 -30 ฟุต ผิวสีน้ำตาลแก่ หรือบางรายงานกล่าวว่าเห็นหงอนกับแนวขนที่หลังของมันด้วย และรายงานอีกเป็นพันฉบับที่กล่าวว่า Mokele Mbembe นั้นถูกฆ่าตายไปเรียบร้อยแล้วโดยชนพื้นเมืองที่นั่น และได้นำเอาเนื้อของมันมาแบ่งกินกัน แต่ผู้ที่กินเนื้อก็ตายเรียบไปด้วย

ใน การออกค้นหาครั้งต่อมาในปี 1981 คราวนี้ได้ระดมเหล่านักวิชาการจากหลายสาขาที่มีความชำนาญมารวมกันทั้ง นักธรรมชาติวิทยา นักสัตววิทยา ผู้ชำนาญด้านพื้นที่และภูมิประเทศรวมไปถึงวิศวกรที่มีความเชื่อในการมีตัวตน อยู่ของเจ้าสัตว์ชนิดนี้มารวมกัน คราวนี้ความหวังของพวกเขาดูจะใกล้ความจริงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งจากการพวกเขาที่ได้ยินรายงานการพบเห็นเกี่ยวกับมันในครั้งล่าสุด ที่มีการพบร่องรอยของสัตว์ตัวโตที่หลุดไปยังแม่น้ำในรัฐ Epena และพบรอยเท้ามากมายและรอยย่ำเป็นทางเดินบนแปลงผักของมันอย่างชัดเจน ทั้งยังชาวบ้านในละแวกนั้นได้ยินเสียงคำรามหรือเสียงร้องจากสัตว์ที่พวกเขา ไม่รู้จัก ชาวท้องถิ่นหลายคนอ้างว่า เห็นตัวของมันขณะที่มันกำลังเดินออกจากบริเวณหมู่บ้านลงแม่น้ำไปอีกด้วย และคาดกันว่าขนาดตัวของมันน่าจะยาวประมาณ 30 -35 ฟุต จากหัวถึงหาง แต่ทว่าเป็นน่าเสียดายที่การออกค้นหาครั้งสำคัญนี้ไม่ประสบความสำเร็จในการ ถ่ายหรือจับตัวเจ้าสัตว์ลึกลับมาได้ ซึ่งก็เป็นที่ผิดหวังของบรรดาผู้ที่รอคอยอย่างใจจดใจจ่อที่จะยลโฉมเจ้า Mokele Mbembe กันอย่างมาก ในตอนนี้อาจเป็นไปได้ว่า มันอาจโดนฆ่าตายไปก่อนหน้าที่คณะสำรวจนี้จะเข้าไปเรียบร้อยแล้วจากชาวเผ่า พื้นเมืองดังที่กล่าวไปในตอนต้น ในกรณีที่มันมีหลงเหลืออยู่ตัวเดียว

แต่ ถ้าในกรณีที่มันมีอยู่หลายตัวก็อาจจะเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ซึ่งขอบเขตและความสามารถในการสำรวจอาจจะถูกกำจัดด้วยหลายๆ สิ่ง เช่น สภาพภูมิประเทศ สภาพอากาศ ความสามารถในการค้นหาหรือของเหล่าลูกทีม ชนพื้นเมือง รวมไปถึงบรรดาโรคภัยในป่าต่างๆ ก็อาจจะทำให้ประสิทธิภาพในการออกติดตามหา Mokele Mbembe มีไม่เต็มที่เท่าที่ควรก็เลยไม่สามารถหาหลักฐานที่เป็นชิ้นเป็นอันกว่านี้ ออกมาได้ ซึ่งหลังจากนั้นก็แทบจะไม่มีคณะออกตามหา ข่าวคราวหรือว่ารายงานของเจ้าสัตว์ชนิดนี้ออกมาอีกเท่าไหร่ ซึ่งเวลาผ่านนานไปก็เหลือแค่เพียงเรื่องราวของสัตว์ลึกลับ ลักษณะคล้ายกับไดโนเสาร์บรอนโตเซารัสที่อาศัยอยู่ที่ลุ่มแม่น้ำในคองโก เป็นตำนานเล่าขานถึงการมีตัวตนของ Mokele Mbembe สืบต่อมาจนถึงปัจจุบัน



ตัวที่3 Mothman

ม็อท แมน เนี่ยเป็นสิ่งมีชีวิตปริศนา ที่พบกันที่ รัฐเวสท์เวอร์จิเนียมีลักษณะคล้ายๆค้างคาวปนตัวมอธ ลักษณะท่าทางการเคลื่อนไหวเหมือนค้างคาวบวกผีเสื้อกลางคืน พบเห็นเป็นครั้งแรกเมื่อ 12 พ.ย. ค.ศ. 1966 และก็พบเห็นกันเรื่อยมา

อาจกล่าว ได้ว่าทศวรรษที่ 70-80 นั้น ม็อทแมน ถือเป็นตัวประหลาดแห่งปี เพราะมีข่าวของการพบมันกันหนาหูมากๆ แรกทีเดียวนั้น ตำรวจและเจ้าหน้าที่ คิดว่าเป็นแค่การเล่นพิเรนทร์ของวัยรุ่นหรือพวกจิตป่วนที่คิดจะแต่งตัวเลียน แบบ แบล็คแมน ซึ่งเป็นทีวีซีรี่ย์ที่ดังมากๆในสมัยนั้น เอาไปเอามาชักไม่ใช่แล้วสิครับ เพราะ ม็อทแมน ไปเกี่ยวพันกับปรากฏการณ์แปลกๆ น่ากลัวหลายๆครั้ง เช่น การถล่มของสะพาน Silver Bridge ตึกถล่ม หรือแม้แต่การปรากฏของ UFO ในหลายๆครั้ง แบบว่าไปที่ไหนซวยถึงนั้น



โดยลักษณะคร่าวๆ เกี่ยวกับเจ้าม็อทแมนนี้ก็จากคำบอกเล่า สรุปได้ดังต่อไปนี้

1. สูงประมาณเจ็ดฟิท ไม่มีหัว ตาอยู่แถวๆ อก
2. ปีกกว้างประมาณ 10 ฟิท สีปีกสีเทา
3. ผิวมีเกล็ดมาก
4. ตาสีแดง เปร่งแสงได้ และมีอำนาจสะกดจิต
5. บินได้
6. สามารถบินไกล ความเร็วประมาณ 100 ไมล์ชั่วโมง
7. มีเสียงกรี๊ดร้องเหมือนสุนัข
8. บางครั้งเสียงร้องแหลมเหมือนเกี่ยวกับสัตว์ที่ใช้ฟันแทะ หรือเครื่องยนต์ไฟฟ้า
9. สามารถก่อกวนเคลื่อนวิทยุ โทรทัศน์ได้
10. มีพลังจิตรู้อนาคต

ไม่ มีใครรู้ว่า ม็อทแมนแท้ที่จริงคือตัวอะไรกันแน่ แต่ข่าวที่เชื่อได้ก็คือ ในช่วงที่ ม็อทแมนปรากฏตัว จะมีชายแปลกหน้าใส่ชุดสีดำ หรือ น้ำตาลป้วนเปี้ยนอยู่บริเวณใกล้เคียงเสมอๆ (ยังกะ MIB เลยแฮะ)


ส่วนมากรายงานการพบม็อทแมนนี้จะอยู่แถวๆ รัฐเวสท์เวอร์จิเนีย ครับ โดยมีรายงานดังต่อไปนี้

15 พฤศจิกายน 1966

สองคู่หนุ่ม-สาวแต่งงาน David และ Linda Scarberry และ Steve และ Mary Mallette กำลัง เดินทางตอนกลางคืนในเวสท์เวอร์จิเนียตะวันตก และผ่านโรงงาน และสถานีสัตว์ป่า ทันใดนั้นพวกเขาก็สังเกตเห็นดวงไฟสีแดงสองดวงในเงามืดใกล้ประตูรั้วโรงงาน เลยเกิดสงสัย จึงหยุดรถ, และพบสิ่งที่เหลือเชื่อเข้า เมื่อพบว่าดวงไฟสีแดงสองตัวนั้นคือสัตว์ประหลาดที่พวกเขาไม่เคยพบมาก่อนใน ชีวิต "รูปร่างเหมือนผู้ชาย สูงประมาณหก หรือเจ็ดฟิท มีปีกใหญ่ที่พับน่ากลัวมาก” พวกเขาตกใจกับสิ่งที่เห็นเลยขับรถหนี แต่มันก็พยายามไล่กวาดรถด้วยการบิน ความเร็ว 100 ไมล์เหนือกว่าต่อชั่วโมง อย่างไรก็ตามพอถึงระยะเวลาหนึ่งมันก็หายไปกลับความมืดแล้ว


24 พฤศจิกายน1966

พยานสี่ผู้คนอ้างว่าเห็นสิ่งมีชีวิตปริศนาบินอยู่เหนือพื้นที่ทดสอบวัตถุระเบิดแรงสูง


วันที่ 25 พฤศจิกายน 1966

ใน ตอนเช้า วันที่ 25 พฤศจิกายน 1966 Thomas Ury กำลังขับมาถึงเส้นทาง 62 ต้องทิศเหนือ ของเวสท์เวอร์จิเน

Credit: Dominic
2 พ.ค. 56 เวลา 12:45 3,172 10
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...