จากสถิติกระทรวงสาธารณสุข (เดือนสิงหาคม 2553) คนไทยอายุ 35 ปีขึ้นไป ป่วยเป็นโรคเบาหวานชนิดที่ไม่ได้เกิดจากกรรมพันธุ์ และความดันโลหิตสูงรวมกว่า 4 ล้านคน อีกทั้งยังมีน้ำตาลในเลือด และความดันโลหิตสูงผิดปกติ เสี่ยงที่จะป่วยเพิ่มขึ้นอีกกว่า 4 ล้านคน องค์การอนามัยโลก (World Health Organization-WHO) และองค์การสหประชาชาติ (The United Nations-UN) ลงคะแนนเสียงให้เบาหวานเป็นโรคที่โลกต้องให้ความสำคัญและจัดสรรทรัพยากร เพื่อทำการป้องกัน
เบาหวานเป็นโรคเรื้อรัง ซึ่งเกิดจากการมีระดับน้ำตาลในเลือดสูงกว่าปกติ ร่างกายไม่สามารถสร้างอินซูลินได้เพียงพอ เกิดภาวะต่อต้านอินซูลิน ทำให้ประสิทธิภาพของอินซูลินลดลง โดยอินซูลินเป็นฮอร์โมนซึ่งทำหน้าที่พาน้ำตาลกลูโคสผ่านกระแสเลือดเข้าสู่ เซลล์ของร่างกาย เพื่อเผาผลาญและเปลี่ยนเป็นพลังงานในการดำเนินชีวิต ถ้าร่างกายขาดฮอร์โมนอินซูลินก็จะไม่สามารถใช้น้ำตาลได้ ก่อให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดสูง และเป็นโรคแทรกซ้อนต่ออวัยวะต่างๆ เช่น ตา ไต และระบบประสาท ซึ่งเป็นอาการของเบาหวานที่ตามมา
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์เทพ หิมะทองคำ ได้ให้ความรู้ว่า "ปัจจุบันนี้เบาหวานถูกจัดอยู่ในกลุ่มของโรคเรื้อรังที่ร่วมไปกับโรคความดัน โลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง โรคอ้วน โรคหัวใจ และหลอดเลือด เรียกรวมกันว่าเมตาบอลิก ซินโดรม (Metabolic Syndrome) นั่นคือกลุ่มโรคที่เกิดมาจากความผิดเพี้ยนของการ เผาผลาญพลังงานของร่างกาย เป็นกลุ่มโรคที่กำลังเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะการอยู่ดีกินดีขึ้นของมนุษย์ แม้เบาหวานจะถือเป็นโรคต้องดูแลรักษาและพบแพทย์อย่างใกล้ชิด แต่จริงๆ แล้วหัวใจของการควบคุมโรคเบาหวาน คือการรู้จักเลือกรับประทานอาหารที่เหมาะสม มีไขมันและค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ และการหมั่นออกกำลังกาย พยายามขยับเขยื้อนร่างกายอย่างสม่ำเสมอ ซึ่งจะต้องเริ่มจากตัวผู้ป่วยเอง"
ด้านการดูแลสุขภาพของ ผู้ป่วยโรคเบาหวาน วิธีที่มีประสิทธิภาพที่สุด คือ การควบคุมน้ำหนักตัว และการดูแลอาหารการกิน เนื่องจากผู้ป่วยโรคเบาหวานไม่สามารถดูดซึมน้ำตาลเข้าสู่เซลล์ได้ จึงควรรับประทานผักและผลไม้ที่มีไขมันและค่าดัชนีน้ำตาลต่ำ และ ‘กีวี' คือหนึ่งในผลไม้ที่เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะในกีวีสีเขียว 1 ผล จะให้แคลอรีเพียง 57 กิโลแคลอรีเท่านั้น จึงเหมาะสำหรับผู้ที่มีปัญหาโรคเบาหวาน และผู้ที่ต้องการคุมน้ำหนัก หรือมีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัว
จากงานวิจัยล่าสุดของสถาบันริดเดท (Riddet Institute) ประเทศนิวซีแลนด์ ระบุว่า สามารถพบ ‘แอคตินิดิน' เอนไซม์ชนิดพิเศษที่เกิดขึ้นตามธรรมชาติได้ในกีวีสีเขียว ซึ่งเอนไซน์ตัวนี้จะช่วยเพิ่มความสามารถในการย่อยโปรตีนในอาหาร เช่น เนื้อสัตว์ นม พืชตระกูลถั่ว และธัญพืชชนิดต่างๆ ได้อย่างสมบูรณ์และรวดเร็วมากขึ้น ดูแลกระบวนการย่อยอาหารให้ทำงานดี ขึ้น เมื่อเทียบกับการย่อยด้วยน้ำย่อยในกระเพาะอาหารและลำไส้เพียงอย่างเดียว
นอกจากนี้ในกีวียังมีไฟเบอร์หรือใยอาหารสูง ช่วยรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในระดับปานกลาง ชะลอการกระจายตัวของกลูโคส ตลอดจนช่วยดูดซึมน้ำตาลและเป็นแหล่งของสารต้านอนุมูลอิสระ อุดมไปด้วยวิตามินซีมากกว่าผลไม้ประเภทอื่นๆ
ประโยชน์มากมายแบบนี้ หลังอาหารมื้อต่อไป อย่าลืมกีวีสักผลนะคะ