หน้าร้อนนี้บางคนคงเลือกหลบร้อนอยู่ที่บ้าน หลายคนคงมีโปรแกรมไปเที่ยวทะเลคลายร้อน ผจญกับจำนวนนักท่องเที่ยวมหาศาล จนทำให้ทะเลกลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ วันนี้ "นายรอบรู้" ขอพาเที่ยวหน้าร้อนในสถานที่แปลกใหม่อันว้าว !!!น่าตื่นตาตื่นใจ ในอ.สังคม จ.หนองคาย ที่ถูกคัดสรรมาให้คุณได้เที่ยวตามรอยอย่างจัดหนักจัดเต็ม ใครรักธรรมชาติ หลงใหลการผจญภัย ไม่ควรพลาด ตามเรามารู้จักอำเภอน่ารักแต่เปี่ยมไปด้วยสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจชื่อว่า อ.สังคม ด้วยกันนะ!
อ.สังคม เป็นอำเภอเล็กๆของจ .หนองคาย มีพื้นที่ประมาณ 449 ตร.กม. เป็นจังหวัดที่มีภูมิทัศน์งดงามและมีธรรมชาติอุดมสมบูรณ์ ติดลำน้ำโขง เหมาะสำหรับคนที่ชอบขับรถเที่ยวชมทิวทัศน์เพราะจะได้เห็นแม่น้ำโขงเป็นแนว ยาวเลียบไปกับถนน ยิ่งมาในช่วงหน้าร้อนน้ำในลำน้ำโขงก็จะแห้งขอด เห็นเกาะแก่งและหาดทรายในลำน้ำสวยงามจับใจ นอกจากชมทิวทัศน์แม่น้ำโขง อ.สังคมยังมีที่เที่ยวทางธรรมชาติอีกมากมายรอให้คุณไปสัมผัส อย่ารอช้า ตาม "นายรอบรู้" มาได้เลย
เที่ยวเชิงธรณีวิทยา ชมทิวทัศน์ 360 องศาที่... "ภูผาดัก"
ตั้งอยู่ภายในบริเวณวัดภูผาดัก ภายในเนื้อที่ราว 15 ไร่ ตัววัดก่อตั้งขึ้นเมื่อ พ.ศ. 2480 ด้วยเหตุที่มีหน้าผาล้อมรอบชาวบ้านจึงเรียกกันสั้นๆว่า "วัดผาดัก" นอกจากวัดซึ่งเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมของพระภิกษุอาวุโสหลายท่าน เช่น หลวงปู่ผาง หลวงปู่เพชร หลวงปู่มั่น ฯลฯ
บริเวณวัดยังมีลานซึ่งมีหินเก่าแก่อายุกว่า 210 ล้านปีตั้งอยู่กระจัดกระจายในพื้นที่ เรียกกันว่า "ลานหินปุ่ม" จากลานหินปุ่มนี้ยังมีหน้าผาซึ่งมองเห็นทิวทัศน์ข้างล่างได้ 360 องศา ทิศเหนือมองเห็นเมืองหนองคาย ทิศตะวันตกเห็นภูนกกระบา อ.นายูง ทิศใต้มองเห็นจังหวัดอุดรธานี ส่วนทิศตะวันออกก็มองเห็นเมืองเวียงจัน ประเทศลาว สิ่งที่น่ามหัศจรรย์อีกอย่างคือบริเวณลานนี้มีก้อนหินขนาดย่อมก้อนหนึ่ง บริเวณหน้าก้อนกินมีรอยเท้าสองข้างฝังอยู่ในลานหิน สันนิษฐานกันว่าน่าจะเป็นรอยเท้าของหลวงปู่ผาง เมื่อครั้งที่ท่านได้มาจำพรรษาอยู่ที่วัดภูผาดักแห่งนี้
เยือนถิ่นพญานาค ที่"ถ้ำดินเพียง"
วัดถ้ำดินเพียง หรือ วัดถ้ำศรีมงคล มีสิ่งที่น่าสนใจภายในวัดคือ "ถ้ำดินเพียง" ถ้ำแห่งนี้บอกเล่าสืบต่อกันมาว่าเป็นถ้ำที่พระธุดงค์จากประเทศลาวได้เคยเดิน ทางข้ามมาได้โดยไม่ได้ผ่านมาทางเรือ จึงเชื่อกันว่ามีแต่ผู้ที่มีบุญบารมีเท่านั้นจึงจะเห็นเส้นทางภายในถ้ำ ชาวบ้านเชื่อกันว่าถ้ำเพียงดินแห่งนี้เป็นเมืองบาดาลของพญานาค ก่อนจะเข้าถ้ำจึงต้องมีการจุดธูปขอขมาพญานาคก่อนรวมทั้งทำตามกฎหลายอย่าง เช่น ห้ามใส่รองเท้าเข้าไป ห้ามปัสสาวะภายในถ้ำ ห้ามถุยน้ำลายภายในถ้ำ เป็นต้น ถ้ำดินเพียงเป็นถ้ำที่มีความชื้นสูงและมีน้ำไหลตลอดทั้งปี มีแท่งหินวางเรียงรายอยู่ภายใน บางก้อนมีลักษณะคล้ายโลงศพซึ่งชาวบ้านเชื่อกันว่าเป็นโลงศพของพญานาค
ถ้ำแห่งนี้มีฉายาว่า "ศาลาพันห้อง" ห้องหลักๆภายในถ้ำดินเพียงที่เปิดให้นักท่องเที่ยวเดินชมมีอยู่ด้วยกัน 8 ห้อง ห้องแรกเป็นห้องโถงกลาง ทางเข้าห้องโถงจะค่อนข้างแคบแต่ภายในห้องโถงเย็นสบายและมีไฟสว่าง ก่อนจะเข้าสู่ห้องที่ 2 คือห้องหีบศพ บรรจุศพของปู่อินทร์นาคราช พญานาคราชที่ชาวบ้านนับถือ ห้องที่ 3 เป็นห้องเจดีย์ ห้องหีบศพ และแท่นบูชา ห้องที่ 4 เป็นห้องธิดานาคราช เป็นธิดาพญานาคที่ชาวบ้านเชื่อกันว่าได้มาพบรักกับเจ้าชายแห่งเมืองมนุษย์
ห้องที่ 5 เป็นห้องช้างสามเศียร เป็นอีกจุดที่แคบที่สุดภายในเส้นทางเดินถ้ำ ต้องใช้ความสามารถในการลอดช่องแคบๆเข้าไป ห้องที่ 6 เป็นห้องพระคัมภีร์ แล้วจึงจะพบห้องที่ 6 ห้องโถงทางออก และหากเดินเข้าไปอีกทางหนึ่งใกล้ๆทางออกจะพบห้องที่ 8 ห้องปฏิบัติธรรม ว่ากันว่าภายในถ้ำแห่งนี้มีห้องเป็นร้อยๆห้อง ส่วนที่เป็นเส้นทางเดินที่ว่ามานี้เป็นพื้นที่ไม่ถึง 10 เปอร์เซ็นต์ของทางเดินทั้งหมดภายในถ้ำ ถ้ำนี้จึงถือเป็นถ้ำมหัศจรรย์ที่มีทางออกไปยังจุดต่างๆอีกมากมายที่ยังไม่มี ใครเคยได้สำรวจ
สำหรับนักท่องเที่ยวที่สนใจมาเที่ยวถ้ำแห่งนี้ควรติดต่อมัคคุเทศก์ล่วง หน้า (ติดต่อได้ที่วัด) เพราะทางเข้าถ้ำค่อนข้างแคบและมืด นอกจากนั้นยังมีทางออกเล็กทางออกน้อยอีกมากมายซึ่งหากไม่มีคนนำทางอาจจะหลง ทางได้ บางเส้นทางนำไปออกถึงฝั่งลาว จึงต้องใช้ความระมัดระวังพอสมควร
สัมผัสความงดงามของธรรมชาติที่ "วัดภูนกกระบา"
ภูนกกระบาเป็นแนวเทือกเขาที่ทอดยาวจาก จ.อุดรธานีมาจนถึง อ.สังคม จ.หนองคาย ที่ได้ชื่อนกกระบาเพราะเป็นภูที่มีนกกระบา หรือที่ภาคกลางเรียกว่านกโพระดก อาศัยอยู่เป็นจำนวนมาก วัดภูนกกระบาจัดตั้งเป็นวัดเมื่อปี พ.ศ. 2479 โดยมีพระครูสีลขันธสังวร เป็นเจ้าอาวาสรูปแรกของวัด และมีพระครูจันทร ปัญญาภรณ์ หรือที่ชาวบ้านเรียกกันว่า "หลวงพ่อจันทร" เป็นเจ้าอาวาส ณ ปัจจุบัน
สิ่งที่น่าสนใจของวัดนี้คือเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงาม มองเห็น จ.หนองคายได้อย่างทั่วถึง นอกจากนั้นยังมีหอสูงที่ให้นักท่องเที่ยวเดินขึ้นไปขมความสวยงามของจังหวัด ได้ 360 องศา ภูนกกระบามีลมพัดแรงเย็นสบายตลอดทั้งปี ในช่วงเช้าในฤดูหนาวที่ภูแห่งนี้ยังเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามมากอีกด้วย
ชมทิวทัศน์พานอรามาไทย-ลาวที่ "วัดผาตากเสื้อ"
วัดผาตากเสื้อเป็นวัดเก่าแก่ ก่อตั้งเมื่อปี พ.ศ. 2477 เป็นวัดที่หลวงปู่เทศน์ เทศน์รังสีได้มาปฏิบัติธรรมอยู่ระยะหนึ่ง หลังจากนั้นก็ได้มีพระสายวิปัสสนากรรมฐานมาปฏิบัติธรรมยังวัดแห่งนี้เรื่อย มาจนถึงปัจจุบัน โบสถ์ของวัดผาตากเสื้อมีความงดงามตามแบบจตุรมุข มีทางขึ้นลงโบสถ์ 3 ทาง ภายในโบสถ์มีภาพจิตรกรรมตามเพดาน บอกเล่าเรื่องราวในพุทธประวัติที่สวยงาม ส่วนภายนอกวัดยังมีศาลาการเปรียญและหอระฆังอันสวยงาม
นอกจากเป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมที่มีชื่อเสียง วัดผาตากเสื้อยังเป็นอีกหนึ่งจุดท่องเที่ยวที่เป็นที่นิยมของนักท่องเที่ยว เนื่องจากเป็นจุดที่มองเห็นทิวทัศน์แบบพานอรามาของทั้งฝั่งไทยและฝั่งลาวได้ อย่างชัดเจน ผู้มาเยือนอ.สังคมมักนิยมมาถ่ายภาพบริเวณนี้ ภายในวัดยังมีเส้นทางศึกษาธรรมชาติให้นักนิยมไพรได้เข้าไปสัมผัสความอุดม สมบูรณ์ของป่าและรู้จักนกป่าหายากนานาชนิดอีกด้วย ถือเป็นสถานที่ที่ได้ครบถ้วนทั้งความสงบทางใจและความสุขจากการได้ใกล้ชิด ธรรมชาติ
"น้ำตกท่าลี่" เที่ยวได้ตลอดปีไม่ง้อฝน
น้ำตกท่าลี่ อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวใน ต.บ้านม่วง อ.สังคม ในช่วงฤดูฝนซึ่งเป็นหน้าน้ำน้ำจะขึ้นสูงเหมาะแก่การมาเล่นน้ำเป็นอย่างมาก ส่วนในฤดูร้อนน้ำตกจะแปรสภาพเป็นลำธาร มีน้ำพอประมาณ เดินเล่นน้ำพอคลายร้อนได้ อีกทั้งมีความร่มรื่น น้ำตกท่าลี่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวใหม่ใน อ.สังคม ที่ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่เป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางธรรมชาติที่ยังคงความอุดมสมบูรณ์และความสวยงาม เอาไว้ได้มาก หากต้องการท่องเที่ยวในสถานที่แปลกใหม่น่าประทับใจลองมาเที่ยวน้ำตกแห่งนี้ ได้ตลอดทั้งปี
สัมผัสประสบการณ์ใหม่ ชวนกันไปนั่งอีแต๋นขึ้น "ภูโล้น"
ภูโล้นเป็นจุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามมากอีกจุดหนึ่ง จากบนภูโล้นมองเห็นลำน้ำโขงและเกาะแก่งมากมายด้านล่างได้ชัดเจน นอกจากนั้นยังเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงามมากอีกจุดหนึ่ง การขึ้นถึงยอดภูโล้นนั้นต้องใช้รถโฟร์วิวขึ้นไป หรือหากต้องการสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ ชาวบ้านบ้านม่วงมีบริการขับรถอีแต๋นไปส่งไป-กลับยอดภูในราคาคนละ 50 บาท
นักท่องเที่ยวจะได้ชมบรรยากาศทางขึ้นภูบนรถอีแต๋นลำเล็กพร้อมเก็บเกี่ยว ประสบการณ์ที่ไม่เคยได้ลิ้มลอง (สอบถามข้อมูลรถอีแต๋นได้ที่ท่านนายก อบต.บ้านม่วง โทร. 08-7219-5500) นอกจากนั้นบริเวณภูโล้นยังถือเป็นแหล่งโบราณคดีที่สำคัญ เพราะเป็นภูเขาที่มีร่องรอยของการทำเหมืองทองแดงโบราณประมาณ 4,000 ปีมาแล้ว สังเกตได้จากการพบเบ้าหลอมโลหะและเศษโลหะมากมาย ทั้งสำริด ทองแดง รวมทั้งดีบุกด้วย
ล่องแก่งลำน้ำโขง เที่ยวชม "พันโขด แสนไคร้"
ใครจะคิดว่าลำน้ำโขงนั้นจะมีเกาะแก่งมากมายจนสามารถ "ล่องแก่ง" ได้ แต่หากได้มาเยือน อ.สังคม ในช่วงฤดูแล้ง ที่น้ำแห้งขอดลดระดับลงต่ำ ก็จะมีโอกาสได้เห็นความมหัศจรรย์ของเกาะแก่งมากมายในลำน้ำ และกระแสน้ำอันเชี่ยวพอที่จะให้ใครต่อใครคิดกิจกรรมชมธรรมชาติอย่างล่องแก่ง ลำน้ำโขงได้ ร้อนนี้ ชาว อ.สังคมชวนเที่ยวชม "พันโขด แสนไคร้" เกาะแก่งในลำน้ำโขงเขต อ.สังคมที่ปรากฏเป็นรูปลักษณ์สวยงามรออวดโฉมนักท่องเที่ยว ที่ได้ชื่อว่าพันโขด แสนไคร้ ก็เพราะนักท่องเที่ยวจะได้เห็นโขดหินและแก่งหินที่โผล่ขึ้นมาเหนือน้ำมาก มายมหาศาลเป็นพันๆโขด แต่ละโขดมีต้นไคร้สีเขียวสดขึ้นแซม ประดับประดาอยู่มากมายเปรียบเปรยได้เป็นแสนๆต้น นั่นเอง
หากนักท่องเที่ยวสนใจชมความงามของลำน้ำโขง ชาวบ้านบ้านม่วงมีเรือหางยาวบริการในราคาลำละ 300 บาท ลำหนึ่งขึ้นได้ไม่เกิน 4 คน และใช้เวลาในการล่องเรือ 1 ชั่วโมงครึ่ง นักท่องเที่ยวจะได้ล่องเรือผ่านหาดและเกาะแก่งต่างๆมากมาย อาทิ หาดแสน คกอาน หาดแห่ แก่งพาล ถ้ำแข้ เป็นต้น ผ่านทั้งช่วงที่น้ำนิ่ง ลมพัดเย็นสบาย ได้ชมธรรมชาติสูดอากาศบริสุทธิ์ และช่วงที่น้ำไหลค่อนข้างเชี่ยว พอให้ได้ล่องเรือทวนน้ำอย่างสนุกสนานตื่นเต้น
การล่องเรือจะเริ่มตั้งแต่ช่วงหาดแสน บ้านม่วง ไปจนถึงถ้ำแข้ บ้านห้วยค้อ เป็นอันสิ้นสุด นักท่องเที่ยวสามารถบอกคนเรือได้ว่าต้องการหยุดถ่ายภาพตรงจุดไหนเป็นพิเศษ แต่จุดที่เป็นที่นิยมมากอยู่ที่ "แก่งพาล" ซึ่งเป็นแก่งสูงกลางลำน้ำ อยู่ในเขตบ้านห้วยค้อ เป็นจุดที่ชาวบ้านที่ออกหาปลาจะมานั่งพักผ่อนบริเวณแก่งนี้ บนแก่งเมื่อปีนขึ้นไปจะมองเห็นทิวทัศน์ของลำน้ำโขงได้กว้างไกลและสวยงามยิ่ง ขึ้น และเป็นจุดชมพระอาทิตย์ตกดินที่สวยงาม
ใครอยากชมความมหัศจรรย์ของลำน้ำโขงในเขต จ.หนองคาย สักครั้งในชีวิตควรจะได้มาล่องแก่งลำน้ำโขงแห่งนี้!
"ภูถ้ำ" เข้าถ้ำไหว้พระ ชมต้นจันทน์ผาที่ใหญ่ที่สุดในโลก
อีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวแสนมหัศจรรย์แห่ง อ.สังคม จ.หนองคาย ด้วยการปีนขึ้นไปสัมผัสความสวยงามของทิวทัศน์เมืองหนองคายบนยอดภูสูง ชมความอุดมสมบูรณ์ของธรรมชาติที่ยังไม่ถูกทำลายโดยน้ำมือมนุษย์ ภูถ้ำแห่งนี้เพิ่งเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวในปีนี้ ยังมีนักท่องเที่ยวรู้จักไม่มากนักจึงยังคงความเป็นธรรมชาติอยู่ได้มาก
จากจุดเริ่มต้น นักท่องเที่ยวต้องปีนขึ้นไปบนภูสูงราว 400 เมตร ในเส้นทางจะผ่านถ้ำเล็กถ้ำน้อยมากมาย แต่ถ้ำที่เปิดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวมีเพียงไม่กี่ถ้ำ เช่น ถ้ำจันทน์ผาใหญ่ ถ้ำพระ ถ้ำปากท่อ และถ้ำแอร์ ถ้ำที่มีชื่อเสียงอย่างมากคือถ้ำพระ เป็นถ้ำที่ว่ากันว่าในอดีตมีพระธุดงค์มาอาศัยอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน ภายในถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปไว้ให้ผู้คนมาสักการบูชา นอกจากนั้นยังมีถ้ำแอร์ ถ้ำที่ภายในเย็นราวกับอยู่ในห้องแอร์ แต่พื้นที่แคบต้องใช้ความระมัดระวังในการเดินเข้าไป ระหว่างทางไปถ้ำต่างๆจะผ่านจุดชมทิวทัศน์หลายจุด แต่จุดชมทิวทัศน์ที่สวยงามมากจุดหนึ่งอยู่บริเวณถ้ำจันทน์ผา ไม่ควรพลาดชม
อีกสิ่งมหัศจรรย์บนภูถ้ำแห่งนี้คือต้นจันทน์ผาซึ่งใหญ่ที่สุดในโลก ความสูงราว 6 เมตร ตั้งตระหง่านอยู่บริเวณถ้ำจันทน์ผาซึ่งอยู่ในช่วง 100 เมตรแรกของการปีนขึ้นไป นอกจากต้นที่ใหญ่ที่สุดนี้ยังมีต้นที่ใหญ่รองลงมา เป็นต้นจันทน์ผาคู่ มีความงดงามน่าชม คุ้มค่าสำหรับการปีนป่ายขึ้นมาเที่ยวชมอย่างมาก
หนองคาย ไม่ไปไม่รู้
หลังจากเที่ยวกันอิ่มความสุขกันแล้ว ความคิดที่ว่า อ. สังคมเป็นอำเภอเล็กๆที่ไม่น่าเที่ยวคงผิดถนัด ทว่ากลับมีสถานที่ท่องเที่ยวรอคอยอยู่อีกตั้งหลายแห่งที่"นายรอบรู้" ยังไม่ได้พาไป เช่น "บ่อทองโบราณ" เก่าแก่ของชาวบ้านท่าม่วง "ศูนย์คุ้มครองพันธุ์พืชป่า จ.หนองคาย" ซึ่งมีกระท่างหรือกิ้งก่ายักษ์รวมทั้งปูหิน ปูหายากให้ชม "ภูห้วยอีสัน" ซึ่งเป็นจุดชมทะเลหมอกที่สวยงามมาก
ก่อนกลับเข้าสู่ จ.หนองคาย "นายรอบรู้" ชวนแวะ "บ้านกองนาง" อ.ท่าบ่อ ชมหมู่บ้านประมงน้ำจืด แหล่งเพาะพันธุ์ปลานิลสายพันธุ์จิตรลดา 3 ซึ่งปรับปรุงมาจากปลานิลพันธุ์ผสมกลุ่มต่างๆถึง 7 สายพันธุ์ จากนั้นแวะเข้าหมู่บ้านชมกระบวนการผลิตเส้นยาสูบของชาวบ้าน ซึ่งเป็นยาสูบพันธุ์เวอร์จิเนีย ชาวบ้านปลูกเองและนำออกขายเพื่อแปรรูปเป็นยาสูบต่อไป
เที่ยวหนองคายจนอิ่ม ก่อนกลับบ้านอย่าลืมแวะเที่ยว "ตลาดท่าเสด็จ" ตลาดแสนคึกคักในตัวเมืองหนองคาย รวมร้านขายของฝากน่าซื้อหาและร้านของกินเด็ดๆอย่างแหนมเนืองหลายร้าน นอกจากนั้นยังเป็นจุดชมทิวทัศน์แม่น้ำโขงที่สวยงามอีกจุดหนึ่งด้วย