ยุคนี้ หากเราพูดถึง จ.บุรีรัมย์ สิ่งที่คนส่วนใหญ่จะนึกออกเป็นอันดับแรก คงไม่พ้น "สโมสรฟุตบอล บุรีรัมย์?ยูไนเต็ด" ยอดทีมแห่งศึกไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งแทบไม่น่าเชื่อเลยว่า เพียงแค่ 3-4 ปี ชายที่ชื่อว่า "เนวิน ชิดชอบ" จะเสกเนรมิตให้ทีมจากภูมิภาคทีมนี้ ก้าวขึ้นมาเป็นหนึ่งในสโมสรชั้นนำและเพียบพร้อมที่สุดของเมืองไทยได้อย่างชั่วพริบตา
อย่างไรก็ตาม มาวันนี้ เป้าหมายของอดีตนักการเมืองชื่อดัง ไม่ได้มีแค่เรื่องฟุตบอลอีกต่อไปแล้ว ภายหลัง สร้างความฮือฮา ประกาศสร้างสนามแข่งรถยนต์มาตรฐานระดับโลกแห่งแรกและแห่งเดียว บนพื้นที่กว่า 500 ไร่ ที่จ.บุรีรัมย์ ซึ่งจะเสร็จสิ้นและเปิดให้ใช้งานได้ในเดือน ต.ค.ปี 2014 และที่เพิ่งผ่านไปสดๆ ร้อนๆ กับการจัดงานสงกรานต์สุดยิ่งใหญ่อลังการ ที่หน้าสนามไอโมบาย สเตเดียม โดยเฉพาะการจัดการประกวด "มิสบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด"
นอกจากนี้ นายเนวิน ยังมีแผนต่อไปในการสร้าง "สวนน้ำวอเตอร์ปาร์ค" ในบ้านเกิดตนเอง ด้วยความหวังลึกๆ ที่อยากให้ จ.บุรีรัมย์ เป็นเมืองที่มีสีสันโดดเด่นไม่แพ้ ลาสเวกัส ในสหรัฐฯ รวมถึงเป็นเมืองฟุตบอล และมอเตอร์สปอร์ตแห่งเมืองไทย ซึ่งต้องเรียกได้ว่า แต่ละไอเดีย ล้วนแต่เป็น บิ๊กเมกะโปรเจกต์แทบทั้งสิ้น ซึ่งถ้าคนไม่แน่จริงรับรองคงทำไม่ได้แน่
"ทีมข่าวกีฬาไทยรัฐออนไลน์" มีโอกาสได้พูดคุยเจาะลึกถึงเรื่องนี้ กับ "บิ๊กเน" ที่พร้อมจะเปิดเผยหมดเปลือกถึงความตั้งใจและความใฝ่ฝันที่อยากจะพลิกโฉมทำให้บ้านเกิดของตนเอง ไม่ใช่เมือง "เซราะกราว" อย่างในอดีตอีกต่อไป
พระเจ้าไม่ได้สร้างแหล่งท่องเที่ยวธรรมชาติใหเรา
"มันเป็นเรื่องของการใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของผม โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง และเกี่ยวกับการทำงานเพื่อตอบแทนแผ่นดินเกิด ฉะนั้นสิ่งที่เรารับรู้มาตั้งแต่เด็กจนโตคือ บุรีรัมย์ พระเจ้าไม่ได้มอบทะเล ภูเขา แหล่งท่องเที่ยว ทางธรรมชาติให้ คนรู้จักบุรีรัมย์น้อยมากในอดีตที่ผ่านมา ในวันนี้เราคิดว่าแม้พระเจ้าจะไม่ได้ให้แหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติเรามา แต่ว่าพระเจ้าก็ให้สมองเรามา ฉะนั้น ด้วยมันสมอง ด้วยวิธีคิด ด้วยกำลังความสามัคคีของคนในบุรีรัมย์ เราน่าจะช่วยกันสร้างให้เมืองบุรีรัมย์เป็นเมืองท่องเที่ยว"
และนั่นกลายจุดเริ่มต้นในการสร้างทีมฟุตบอล และสนามฟุตบอลที่ได้มาตรฐานฟีฟ่า มูลค่ากว่า 500 ล้าน เพื่อให้เป็นสนามฟุตบอลที่ดีที่สุดในประเทศไทย และโดดเด่นเป็นสง่า อยู่ที่ จ.บุรีรัมย์ ซึ่ง นายเนวิน ยอมรับว่า มีส่วนสำคัญที่ช่วยให้ทุกวันนี้เศรษฐกิจต่างๆ ภายในจังหวัด เปลี่ยนแปลงไป เพราะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาชม, ดูสนาม ทั้งวันมีเกมแข่งและไม่มีมากขึ้น
"จากตรงนี้เอง มันเป็นแรงทำให้ผม กับภาคเอกชน และพรรคพวกทุกคน คิดกันว่าต้องทำอย่างไรให้คนมามากกว่านี้ มันก็ไปเริ่มต้นที่ "บุรีรัมย์ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต หรือ บีอาร์ไอซี" คำถามคือ ทำไมต้องทำสนามแข่งรถ ส่วนหนึ่งมันเป็นความชอบส่วนตัว ผมชอบขี่บิ๊กไบค์, อยู่กับฟุตบอลและมอเตอร์ไซค์ ก็ได้เห็นว่ามันควรจะมีสนามและประเทศไทยไม่มีสนามที่ได้มาตรฐานสหพันธ์ยานยนต์นานาชาติ (เอฟไอเอ) และสมาพันธ์รถจักรยานยนต์นานาชาติ (เอฟไอเอ็ม)"
ดันบุรีรัมย์ 1 ใน 5 จังหวัดน่าเที่ยวสุดของไทย
สำหรับสนาม บีอาร์ไอซี จะสร้างขึ้นด้วยงบประมาณกว่า 2 พันล้าน ซึ่งมีการจ้างนักออกแบบสนามระดับโลกมาดูแลอย่างใกล้ชิด โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อรองรับการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบ, มอเตอร์ไซค์ทางเรียบ และซุปเปอร์ครอส ซึ่งนายเนวิน การันตีว่า จะเป็นสนามแข่งที่ดีที่สุดในประเทศไทยแน่นอน
"มันก็เหมือนกับสนามฟุตบอล เราก็ทำขึ้นมาเราก็เห็นผล ฉะนั้น เราทำสนาม บีอาร์ไอซี เมื่อมันดีที่สุดในประเทศไทย เราเชื่อว่าคนจะมาบุรีรัมย์?มากขึ้น จะมีนักท่องเที่ยวที่หลงใหลในโลกของความเร็ว ชอบมอเตอร์สปอร์ต ชอบฟุตบอล โดยหลังปี 2014-2015 บุรีรัมย์จะเป็นฟุตบอล แอนด์ มอเตอร์สปอร์ต ซึ่งแน่นอน นักท่องเที่ยวน่าจะมาที่นี่มากขึ้นกว่าเดิมหลายร้อยเปอร์เซ็นต์"
"เรายังตั้งเป้าไว้ว่าภายใน 3 ปีจากนี้ไป เราจะทำให้เมืองบุรีรัมย์ เป็นเมือง 1 ใน 5 ที่คนไทย และนักท่องเที่ยวที่มาเมืองไทยอยากมามากที่สุด ซึ่งถ้ามันไปถึงจุดนั้น เศรษฐกิจทุกอย่างของบุรีรัมย์มันก็จะเปลี่ยนไป ทุกอย่างมันแมนเมดหมด"
เมินจัดเอฟวัน เพราะคนไทยสัมผัสไม่ได้
เมื่อสนามแห่งนี้เสร็จสิ้น "บิ๊กเน" ย้ำชัดว่า จะดึงการจัดการแข่งขันระดับ รายการ เวิลด์ซีรีส์ อย่างน้อย 3 ครั้ง ต่อหนึ่งปีให้ได้ ในปี 2015 เป็นต้นไป ส่วนประเด็นการจัดเอฟวัน เจ้าตัวยืนยันว่า ไม่สนใจแน่นอน เพราะมองว่าเป็นเรื่องของธุรกิจมากไป และค่อนข้างห่างไกลกับการใช้ชีวิตของคนปกติ
"ผมบ้าพอ แต่ผมไม่โง่ เอาตัวเองเข้าไปเป็นเหยื่อ ถามว่าสนามของบุรีรัมย์ แข่งเอฟวันได้ไหม ด้วยความยาว 4,500 เมตรกว่า มันแข่งได้อยู่แล้ว ด้วยระบบที่เราสร้าง มันก็แข่งได้ แต่ด้วยเป้าหมายของคนสร้างก็คือผม ไม่เอา เพราะผมมองว่า ทุกวันนี้ เอฟวันมันเป็นคอมเมอร์เชียล"
"มันเป็นอะไรที่สัมผัสไม่ได้ มันเป็นอะไรที่คนอยากดู แค่ดูครั้งเดียว และก็ไม่มีอะไร เพราะรถเอฟวัน ใครจะไปขับที่ไหน ใครเป็นเจ้าของรถ มันก็แค่ได้ดูครั้งหนึ่งในชีวิต เหมือนเรามาดูยานอวกาศ แต่วันนี้ เป้าหมายของเรา เมื่อเราทำโมโตจีพี ซุปเปอร์จีพี มันเป็นรถที่คนสามารถสัมผัสได้ เป็นเจ้าของได้ "
ตั้งเป้าเป็น ฮับ ของอีสาน และอาเซียน
แต่นั่นก็ยังไม่สมบูรณ์แบบตามความตั้งใจของ "บิ๊กเน" จึงทำให้เกิดการสร้าง "วอเตอร์ปาร์ค" ขึ้นมา ซึ่งเป็นสวนสนุกให้กับ คนที่มาบุรีรัมย์? เป็นทางเลือก นอกเหนือจากคนที่มาดูการแข่งรถ และแข่งฟุตบอล เรียกได้ว่า เที่ยวได้ทั้งครอบครัว ทุกเพศทุกวัย
"เราคิดว่า เราจะเป็นฮับของอีสาน ฮับของประเทศไทย วันที่ เออีซี เปิด ณ สิ้นปี 2014 กัมพูชา เวียดนาม ลาว และในอีสานเอง ประชากรตรงนี้ ผมคิดว่าหลายร้อยล้านคน เมื่อมีคน 2-3 ร้อยล้านคน บุรีรัมย์ก็คงจะเปลี่ยนแปลงไป ผมตั้งเป้าในปี 2016 จีดีพีบุรีรัมย์ จะต้องเพิ่มขึ้น 3 เท่าตัว และดัชนีความสุขของบุรีรัมย์?เพิ่มขึ้นร้อยเปอร์เซ็นต์ เป็นเท่าตัวแน่นอน และนั่นเป็นเป้าหมายที่เราทำ"
"เราวางธีมเมืองของเราว่า "บียอน อันบีลิฟเอเบิล" ใครที่มาที่บุรีรัมย์ จะต้องรู้สึกตะลึง อึ้ง ช็อก ไม่คิดว่า จะมีอะไรแบบนี้ในเมืองไทยได้ แต่ผมยืนยันแน่นอนว่า แม้อยากให้บุรีรัมย์ เป็นเมืองที่สร้างขึ้นให้มีสีสันเหมือน ลาสเวกัส ผมก็ไม่เคยคิดเรื่องกาสิโนเลย ผมคิดแต่เรื่องการท่องเที่ยวอย่างยั่งยืน ฟุตบอล แอนด์ มอเตอร์สปอร์ต ดีกว่า เพราะเมื่อไหร่มีเรื่องกาสิโน การพนัน ยาเสพติดมันจะตามมา สังคมบ้านผมจะมีปัญหา"
ความสุขในฐานะ นายเนวิน คนเดินดิน ธรรมดา
กับโปรเจกต์ทั้งหลายนี้ "บิ๊กเน" กล่าวว่า ในอนาคตอาจมีอะไรใหม่ๆ เข้ามาได้อีก ตราบใดที่ตนเองมีกำลัง และยังได้รับความสนับสนุนร่วมมือจากภาคเอกชนใน จ.บุรีรัมย์ พร้อมยอมรับว่า ทุกวันนี้มีความสุขที่ได้ช่วยให้จังหวัดบ้านเกิดมากกว่าตอนที่ตนเองเป็น ส.ส.หรือรัฐมนตรีเสียอีก
"ทุกวันนี้ผมคิดว่าทุกคนเขามีความสุข และมีความหวังกับความเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้นในพื้นที่ ผมต้องบอกว่า 3-4 ปี ของการกลับมาทำงานให้กับบุรีรัมย์?โดยไม่เกี่ยวข้องกับการเมือง ผมสามารถให้ความสุขกับคนบุรีรัมย์ และสามารถสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับทรัพย์สินของคนบุรีรัมย์ได้สามเท่าตัว ก็เป็นอะไรที่อย่างน้อยไม่เสียชาติเกิด และก็ตั้งใจว่าก่อนปี 2020 เมืองบุรีรัมย์ ก็จะเป็นเมืองที่ไม่มีใครไม่อยากมา นี่คือเป้าหมาย"
"ผมทำอะไร ผมทำเต็มที่ทุกครั้งถ้ามีโอกาส คืออะไรที่มันทำแล้วเกิดประโยชน์ ก็ทำจนกว่าจะหมดแรง....ต้องบอกว่า สำหรับผม นายเนวิน คนธรรมดา สร้างความสุข สร้างประโยชน์ และความเจริญให้กับบุรีรัมย์ ได้มากกว่าการเป็น ส.ส.เนวิน หรือ รัฐมนตรีเนวิน ซึ่งนี่คือความสุขของผมแล้ว"