"ตำนานรัก ขนมโมจิ สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2"
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว สมัยสงครามโลกครั้งที่ 2 เริ่มต้นตอนที่กองทัพญีปุ่น มาตั้งฐานทัพใน จังหวัดนครนายก ซึ่ง ชาวบ้านในบริเวณนั้น ได้นำสินค้าต่างๆ มาค้าขายกับทหารญี่ปุ่นที่อาศัยอยู่บริเวณดังกล่าว (ปัจจุบันคือพื้นที่ของโรงเรียนนายร้อยพระจุลจอมเกล้าและบริเวณใกล้เคียง)
นางพันนา ซึ่งมีอายุประมาณ 18 กว่าปี ทำการค้าขายขนมในค่ายทหารกับญาติ ๆ เช่นขนมไข่เหี้ย กล้วยทอด ซาลาเปาทอด ขายจนได้รู้จัก กับทหารหนุ่ม ชาวญี่ปุ่น
ซึ่งเป็นหมอ และได้เกิดมีความรู้สึกที่ดีต่อกัน และวันหนึ่ง ทหารญี่ปุ่น ก็ต้องโยกย้ายไปที่อื่น แต่ก่อนจากไปนั้น ทหารได้สอนนางพันนา ทำขนมโมจิให้กับนางพันนา และบอกกับ เธอว่า ขนมนี้จะเป็นตัวแทนของซาโต้ และเป็นตัวแทนของประเทศเขา ถ้าเขาไม่อยู่และนางพันนา คิดถึง ซาโต้ ให้ทำขนมนี้ ซาโต้จะกลับมา
เมื่อทหารญี่ปุ่นได้สอนจนทำเป็น ซาโต้กินขนมโมจิ แล้บอกกลับนางพันนาว่า นางพันนา ทำขนมญี่ปุ่นโมจิได้อร่อยที่สุด ก่อนที่ทหารญี่ปุ่นจะจากไป
ซาโต้บอกกับนางพันนาว่า หากวันใดคิดถึงเขาให้ทำขนมโมจิ ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ซาโต้จะกลับมาหานางพันอีก ถ้าจะทำขายก็ทำได้ และแล้วซาโต้ก็จากไป
แต่นางพันนา ก็ยังคงทำอาชีพหาบของขาย ขนมญี่ปุ่นโมจิให้กับกองทัพทหารญี่ปุ่นต่อไป ต่อมาญี่ปุ่นแพ้ สงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นจึงกลับ ประเทศญี่ปุ่น
แต่นางพันนายังทำขนมโมจิ ขายให้กับผู้คนใน จังหวัดนครนายก จนวันหนึ่งทหารไทยบอกกับนางพันนาว่า ขนมที่ทำขายอยู่ ห้ามกิน ห้ามทำ ห้ามขาย เพราะเป็นขนมของญี่ปุ่น
ขนมนี้มันคือขนมกบฏ นางพันนาจึงไม่ได้ทำขนมโมจินี้ขาย แต่ทุก ๆ ครั้งที่คิดถึงซาโต้ นางพันนาก็จะแอบทำขนมโมจินี้ เพื่อแทนความคิดถึง หนุ่มญี่ปุ่นซึ่งเป็นที่รัก
และทุกครั้งที่ทำนางพันนา ทำขนมโมจินี้ จะตั้งจิตอธิษฐาน สวดมนต์ภาวนา ให้ซาโต้กลับมากินขนมของตัวเอง วันแล้ว วันเล่า นานหลายสิบปีจนทุกคนลืมเรื่องนี้ไปหมดแล้ว
จนกระทั่งพ.ศ. 2547 สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี ทรงทราบประวัติเรื่องขนมโมจินี้ จึงให้ทหารคนสนิทไปสืบหาที่มาขนมโมจิสูตรดังกล่าว
ซึ่งได้ไปหาอยู่หลายที่และนำมาให้เสวย แต่พระเทพทรงตรัสว่าไม่ใช่ขนมโมจิสูตรที่ตามหา
ต่อมาอดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครนายกได้มอบหมายให้สำนักงานพัฒนาชุมชนจังหวัดนครนายก ได้ประชาสัมพันธ์และสืบหาจนได้
ทราบจากนายมานพ ศรีอร่าม ข้าราชการพัฒนาชุมชนว่าผู้ที่ทำขนมโมจิดังกล่าวคือมารดาของตัวเอง ในขณะนั้นมีอายุมาแล้วแต่ความทรงจำยังดี
สามารถเล่าเรื่องราวต่างๆในอดีตได้เป็น อย่างดี พร้อมได้สอนให้บุตรและบุตรสะใภ้ได้ทำขนมดังกล่าว ถวายสมเด็จพระเทพฯ ซึ่งยายพันนารอคอยวันนี้มานานแสนนาน
วันที่ขนมโมจิของแกได้ถูกเผยแพร่อีกครั้ง เหมือนได้บอกกับซาโต้ว่ายังมีสาวบ้านนาคนนี้รออยู่ ปัจจุบันยายพันนาได้จากไปแล้ว โดยได้รับพระราชทานเพลิงศพจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
และปัจจุบันขนมโมจิสูตรดังกล่าวได้มีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันมีรสชาติที่อร่อย กลมกล่อมและมีไส้ให้เลือกหลายชนิด
เอกลักษณ์ของขนมโมจิสูตรสงครามโลกครั้งที่ 2 จะมีความพิเศษแตกต่างจากขนมโมจิที่วางขายในจังหวัดอื่น
เนื่องจากขนมโมจิสูตรนครนายกทำจากแป้ง ข้าวเหนียวและนำไปต้ม จะมีความเป็นเอกลักษณ์ คงความสดอร่อย นุ่มและกลมกล่อม รวมทั้งมีไส้ที่หลากหลาย รสชาติใกล้เคียงกับขนมโมจิสูตรดั้งเดิม (ประเทศญี่ปุ่น)
ขอบคุณข้อมูลและรูปภาพจาก souvenirbuu.wordpress.com, peerapan1000.blogspot.com
เรียบเรียงโดย แอดมิน(คนเดินดิน) https://www.facebook.com/knowledge2U