เมื่อมาศึกษาพุทธศาสนาอย่างจริงจังจึงได้เข้าใจ และเอาชนะความเกลียจชัง ดังนี้
๏ เมื่อคิดถึงคนที่ทำให้เราทุกข์ ฉันเอาชนะความเกลียจชังโดย การแพร่เมตตาให้เขา
เอาชนะความเกลียจชัง โดยคิดว่า เราได้ทำกรรมแบบนี้มาในชาติปางก่อน ถึงได้ถูกหลอก มันก็สมควรแก่กรรมที่ตนเองทำไว้ พระพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า ธรรมชาติยุติธรรมสำหรับทุกคนเสมอ เมื่อเราได้รับกรรมแบบใด ก็สมควรแก่การได้รับกรรมนั้น มันยุติธรรมแล้ว
เอาชนะความเกลียจชัง ด้วยการฝึกอบรมจิตตนเอง โดยฝึกเป็นคนที่ให้อภัยคนที่มากระทำต่อเรา เพราะความเกลียจชังที่เรามีต่อเขา มันทำร้ายเราโดยตรง เขาทำร้ายเราเพียงครั้งเดียว แต่เรากลับนำมาคิดแล้วคิดอีก ทำให้เราเศร้าหมอง ทุกข์ แทนที่เอาเวลาไปทำประโยชน์อย่างอื่น แทนการนั่งบ่น ตำหนิ
หากเรายังมัวเกลียจชัง เกิดชาติหน้า เราจักมาเจอกับเขาอีก และเจอรูปแบบเดิมคือ ก่อเวรต่อกันอีก โดยการกลับข้าง เราจะกลายเป็นคนหลอกเขาอีก มุนเวียนอย่างนี้ไปจนกว่าจะมีคนให้อภัยแก่กัน กรรมนั้นจึงจะหายไป
เอาชนะความเกลียจชังโดยการ ตระหนักรู้ว่า เกิดชาติหน้าผิวจะทราม บุคลิกจะเศร้าหมอง และอาจเกิดในอบายได้ จึงได้ยุติความเกลียจชัง ลงในชาติปัจจุบัน ศึกษาธรรม ใช้หนี้กรรมให้หมด เพื่อหวังผลไปเกิดในภพภูมิที่สูง
๏ เอาชนะความเกียจชังโดยการ ตระหนักรู้ว่า จิตที่หยาบกระด้างไร้เมตตา จะทำให้เกิดในตระกูลต่ำ ยากจน ปัญญาทราม
๏ เอาชนะความเกลียจชังโดยการ ตระหนักรู้ว่า หากเรายังเกลียจชังอยู่ จักเจริญสมาธิได้ลำบาก เพราะมัวครุ่นคิด โกรธเกียจอยู่ จะทำให้เรานั่งสมาธิไม่ได้นาน จึงเลิกเกลียจชัง
๏ เอาชนะความเกลียจชัง โดยตระหนักรู้ว่า โลกนี้ล้วนว่างเปล่า ไร้ตัวตน ไร้แก่นสาร ไม่ควรยึดถือ