ทุกครั้งหลังจากอาบน้ำให้ลูกน้อย คุณแม่ยุคก่อนจะประแป้งให้ลูก เวลาลูกมีผดผื่นเปียกชื้นก็จะประแป้ง แต่คุณแม่ยุคใหม่ปัจจุบันดูจะลดความสำคัญกับแป้งฝุ่นลงไป เพราะแพทย์ต่างก็ยืนยันเป็นเสียงเดียวกันว่า "แป้งทาตัวเด็กส่วนใหญ่ไม่ปลอดภัยสำหรับเด็กทุกวัย"
รศ.ดร.ไสยวิชญ์ วรวินิต ผู้เชี่ยวชาญทางด้านเทคโนโลยีแป้ง (Starch Technology) และนักเทคโนโลยีดีเด่นของมูลนิธิส่งเสริมวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีในพระบรมราชูปถัมภ์ ประจำปี 2549 เผยว่า "แป้งฝุ่นโดยทั่วไปทำจากสารทัลคัม ซึ่งมีชื่อทางเคมีว่า Magnesium Silicate Hydroxide เนื่องจากหินแร่ทัลคัมไม่สามารถย่อยสลายเองได้ด้วยจุลินทรีย์ตามธรรมชาติ
"หากสูดเข้าไปทีละเล็กละน้อยเป็นเวลานานๆ เกิดการสะสมในปอด โดยที่เซลล์บุผิวปอดจะดักจับแป้งไว้เป็นก้อน ทำให้มีปัญหากับการหายใจ ถ้าเป็นเด็กทารกก็อาจทำให้ปอดอักเสบ เกิดเป็นโรคเนื้องอกในปอด (Talcosis) และเสียชีวิตได้"
ที่น่าตกใจยิ่งกว่านั้น ภัยร้ายของทัลคัมคือ เมื่อสูดดมทัลคัมเข้าไปในปอดปริมาณมาก มีผลต่อปอดทำให้เกิดอาการไอ อาจเป็นสาเหตุหนึ่งของภูมิแพ้ เนื่องจากแป้งทัลคัมไม่สามารถย่อยสลายได้
"นักวิทยาศาสตร์พบว่า ผู้หญิงที่ใช้แป้งกับอวัยวะเพศเพื่อลดการอับชื้น มีอัตราเสี่ยงจากการจะเป็นมะเร็งรังไข่เพิ่มขึ้น โดยอาจเป็นไปได้ที่แป้งสามารถหลงเข้าไปในร่างกายผ่านช่องคลอด มดลูก และท่อนำไข่เข้าไปสู่ช่องท้อง"
รศ.ดร.ไสยวิชญ์บอกอีกว่า เนื่องจากความไม่ปลอดภัยในการใช้แป้งทัลคัม แพทย์ส่วนใหญ่ โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกา แนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้แป้งทาตัวเด็กที่มีส่วนผสมของทัลคัม และเลือกใช้แป้งที่มีส่วนผสมของวัตถุดิบธรรมชาติ อาทิ แป้งข้าวโพด รวมทั้งแป้งข้าวเจ้าบริสุทธิ์ นอกจากนี้ นักวิทยาศาสตร์ไทยยังพัฒนาผลิตภัณฑ์แป้งเด็กภายใต้ชื่อแบรนด์ "ไรซ์แคร์" ซึ่งมีส่วนผสมของแป้งข้าวเจ้า
"เนื่องจากปลอดภัยมากกว่าแป้งทัลคัม เพราะเป็นสารอินทรีย์ย่อยสลายได้ ไม่เกิดการสะสมในปอดหรือใต้ร่มผ้า ไม่ก่อให้เกิดอาการแพ้ และลดความเสี่ยงเกิดมะเร็งรังไข่" รศ.ดร.ไสยวิชญ์ทิ้งท้าย
ต่อไป เวลาซื้อแป้งคงต้องพิถีพิถันในการเลือกซื้อมากขึ้น
หน้า 25,มติชนรายวัน ฉบับวันอังคารที่ 9 เมษายน 2556