ภาพลวงตา ความคิดลวงใจ

 

 

 

 

 

 

ทุกวันนี้ผู้คนในสังคมเรามีแต่ความแตกแยก มีแต่พวกเขาพวกเรา มีแต่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งตัดสินใจจากสิ่งที่ตามองเห็น ผมเลยอยากจะให้พวกเราลองดูภาพต่อไปนี้แล้วบอกว่าคุณมองเห็นอะไร?

 ลองดูรูปข้างล่าง อ่านได้ว่าอะไรเอ่ย ?

 

ถ้าอ่านแต่ตัวอักษรสีดำ ก็จะได้คำว่า "GOOD" แต่ถ้าสังเกตดีๆ อ่านแต่ตัวอักษรสีขาวที่ซ่อนอยู่ข้างใน จะได้เป็นคำว่า "EVIL" ทั้ง 2 คำความหมายตรงข้ามกันไปเลยจริงไหม

 

รูปนี้คือคำว่าอะไร?

 

มองผ่านๆอาจจะอ่านไม่ออก แต่ถ้าลองสังเกตเฉพาะตรงที่ว่างสีขาวๆ จะได้เป็นคำว่า "OPTICAL" แต่ถ้าอ่านแต่ตัวอักษรที่เป็นรูปภาพจะได้เป็น "ILLUSION" ...นั่นคือเหตุผลว่าทำไมรูปนี้ถึงชื่อ "OPTICAL ILLUSION" หรือ ภาพหลอกตา ไงล่ะ

 

 เห็นรูปนี้แล้วอ่านว่าอะไร ? 

คุณอาจจะเห็นเป็นคำว่า "Me"  แต่ถ้ามองดีๆผ่าน "Me" ก็จะเห็น "You" อยู่ข้างในที่จบลงด้วยภาพนี้เพราะคนเรามองอะไรด้วย "ตา" มักจะเข้าข้างตนเองอยู่เสมอ แต่หากมองด้วย "ใจ" แล้วคุณจะมองเห็นว่ามันมีผลกระทบกับคนรอบข้างหรือสังคมอย่างรไบ้าง

               เพื่อให้เข้าใจมากยิ่งขึ้นผมขอนำเรื่องราวของขงจื้อกับศิษย์มาให้อ่านดังนี้

      วันหนึ่ง ขงจื้อพร้อมศิษย์เดินทางรอนแรมลี้ภัยการเมืองอยู่กลางป่า พอได้เวลาอาหาร ลูกศิษย์เตรียมตักข้าวใส่จานพร้อมสำรับอาหาร ขณะกำลังตักข้าวอยู่ห่างๆนั้น ท่านขงจื้อสังเกตเห็นว่า ลูกศิษย์หยิบข้าวจากจานของท่านขึ้นมาใส่ปากเคี้ยว

     ท่านจึงสอนและชี้ให้เห็นว่าการหยิบอาหารจากสำรับของครูอาจารย์มารับประทานก่อนได้รับอนุญาตนั้นแสดงถึงความ "อนารยะ" ที่น่าตำหนิอย่างยิ่ง ลูกศิษย์จึงขอโอกาสชี้แจง "อาจารย์ครับ ที่กระผมหยิบข้าวจากจานของอาจารย์ขึ้นมารับประทานก่อน หาใช่กระทำด้วยความเขลาหรือขาดคาราวะก็หาไม่ แต่ที่เป็นเช่นนั้นเพราะข้าวในจานข้าวของอาจารย์ มีผงถ่านสีดำปนเปื้อนข้าวอยู่ ครั้นจะยกมาให้อาจารย์เลยก็เกรงว่าคงไม่เหมาะ จะหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นทิ้งก็เสียดาย เพราะข้าวหายากและจำเป็นมากสำหรับการอยู่รอดในยามวิกฤติ กระผมก็เลยหยิบข้าวที่เปื้อนนั้นขึ้นมารับประทานเสียเองขอรับ"

     แววตาที่ฉายแววดุของผู้เป็นอาจารย์ค่อยๆ ทอประกายอ่อนโยนด้วยเมตตา ก่อนเอ่ยวาจาขอโทษผู้เป็นศิษย์อย่างไม่ถือตัว บ่อยครั้งที่เรามักตัดสินอะไรผิดพลาดอย่างง่ายดายจนเสียทั้งคน เสียทั้งงาน และบางทีก็เสียผู้เสียคน เสียเกียรติภูมิที่สู้สั่งสมมาทั้งชีวิตในชั่วพริบตา เพียงเพราะเราเชื่อในสิ่งที่สายตารายงาน ขณะที่บางด้านของความจริงกลับเป็นอีกอย่างหนึ่ง

    สามีทะเลากับภรรยา พ่อแม่ทะเลาะกับลูก นายเข้าใจผิดลูกน้อง เพื่อนแตกจากเพื่อน คนที่เกิดร่วมแผ่นดินเดียวกันทะเลาะกันเอง คนรักหันหลังให้กันทั้งที่ต่างฝ่ายก็แสนดี เพียงเพราะต่างก็เชื่อใน "สิ่งที่ตาเห็น" แต่ละเลยการ "เมียงมอง" อย่างพินิจแยบคายโดยใช้ "ปัญญาจักษุ" อันสุขุม เราจึงติดอยู่ใน "ภาพลวงตา" อันเป็นมายาคติ พลอยทำให้หลงลืม "ความจริง" ที่เป็นจริงอีกด้านหนึ่งไปอย่างน่าเสียดาย

     จงมองด้วย "ตา" แล้วปล่อยให้ "ปัญญาและใจ" เป็นผู้วินิจฉัย สิ่งที่ตาเห็นกับสิ่งที่ปัญญาและใจประจักษ์ ไม่แน่ว่าจะสอดคล้องกันเสมอไปนะครับ

   จงใช้ "ตา" สำหรับ "ดู" แล้วจงใช้ "ปัญญาและใจ" สำหรับการ "เห็น" เพราะทุกสิ่งบนโลกใบนี้มีอะไรมากกว่าสิ่งที่ตาของคนเรามองเห็น อยู่ที่ว่าเราจะเปิดใจ และใช้ปัญญาในการมองมากน้อยเพียงไร อย่าให้สิ่งที่เห็นลวงตาของคุณ และอย่าให้ความคิดที่ลำเอียงและขาดเหตุผล ลวงใจของเรานะครับ

 

แถมท้ายสักเล็กน้อย แก้เครียด 

มองที่กากบาทตรงกลางสัก 1 นาทีขึ้นไป สีชมพูรอบๆจะค่อยๆหายไป จะมีดวงไฟสีเขียวมาวิ่งวนรอบศูนย์กลางแทน

 

 

มีเด็ก 12 คน หรือ 13 คนกันแน่ในรูปนี้

 

 

จ้องจุดสีดำกลางภาพไว้สักครู่ คุณจะเห็นว่า ทรงกลมที่อยู่รอบๆ จุดสีดำนั้นมันจะมีขนาดลดลงได้

 

 

 

Credit: http://board.postjung.com/672175.html#
21 เม.ย. 56 เวลา 09:02 2,931 3 150
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...