เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ขอขอบคุณภาพประกอบจาก เฟซบุ๊ก Police Clips
นับเป็นโศกนาฏกรรมที่สร้างความโศกสลดให้กับคนทั่วโลกเลยทีเดียว สำหรับเหตุระเบิดกลางงานแข่งขันวิ่งมาราธอนที่เมืองบอสตัน รัฐแมสซาชูเซตส์ของสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 15 เมษายนที่ผ่านมา จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 3 ราย บาดเจ็บอีกเกลื่อน ซึ่งแม้ว่าความสูญเสียจากเหตุการณ์ครั้งนี้จะจัดอยู่ในระดับที่น้อย แต่หากใครได้รู้เรื่องราวของผู้เสียชีวิตที่อายุน้อยที่สุด นามว่า มาร์ติน ริชาร์ด วัย 8 ขวบ คงจะรู้สึกสะเทือนใจไม่น้อยไปกว่ากัน เพราะเขากำลังยืนรอกอดพ่อที่กำลังจะเข้าเส้นชัยอยู่แท้ ๆ แต่เหตุระเบิดกลับทำให้เขาจากครอบครัวอันเป็นที่รักไปตลอดกาล ไม่ได้รับรู้สัมผัสของอ้อมกอดพ่ออีกต่อไป
เว็บไซต์เทเลกราฟของอังกฤษ รายงานว่า ในวันเกิดเหตุ มาร์ติน ริชาร์ด และครอบครัวที่แสนอบอุ่นของเขา กำลังยืนรอดูการเข้าเส้นชัยของพ่ออยู่บริเวณเส้นชัย แต่ยังไม่ทันที่เขาจะได้กอดพ่อ จู่ ๆ ก็เกิดระเบิดขึ้น 2 ตูมใหญ่ในจุดที่เขาและครอบครัวยืนอยู่พอดี และแรงระเบิดในครั้งนี้ ก็ได้ทำให้มาร์ติน ไม่มีโอกาสได้กอดพ่อเพื่อยินดีกับการเข้าเส้นชัยของพ่ออีกเลย เขาเสียชีวิตพร้อมกับเหยื่อระเบิดอีก 2 ราย ขณะที่แม่และพี่น้องของเขา ก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยจากโศกนาฏกรรมครั้งนี้
รายงานระบุว่า เหตุระเบิดได้ทำให้ เดนิส ริชาร์ด แม่วัย 43 ปี ของมาร์ตินได้รับบาดเจ็บทางสมองอย่างหนัก ทำให้เจน น้องสาววัย 7 ขวบของเขา ต้องกลายเป็นคนพิการขาทั้งสองข้าง และทำให้เฮนรี่ พี่ชายวัย 12 ปี ได้รับบาดเจ็บจากสะเก็ดระเบิด ซึ่งความสูญเสียและการบาดเจ็บหนักเหล่านี้ อาจกล่าวได้ว่า โศกนาฏกรรมครั้งนี้ ได้พรากครอบครัวริชาร์ดจากกัน และนำมาซึ่งความเปลี่ยนแปลงที่สร้างบาดแผลที่ไม่อาจลบลืมไปตลอดกาล ขณะเดียวกัน เรื่องราวของพวกเขาก็ได้สร้างความเศร้าโศกสะเทือนใจให้แก่ผู้คนทั่วโลก ที่ได้รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ผ่านโซเชียลเน็ตเวิร์กที่มีการเผยแพร่ต่อกันไปอย่างกว้างขวางในขณะนี้
ทั้งนี้ สำหรับเหยื่อระเบิดอีก 2 ราย ที่สังเวยชีวิตให้กับโศกนาฏกรรมครั้งนี้นั้น รายหนึ่งคือ คริสตี้ แคมป์เบล สาวอเมริกันวัย 29 ปีที่กำลังยืนเชียร์แฟนหนุ่มวิ่งมาราธอนอยู่ ซึ่งนายวิลเลียม พ่อของเธอได้ออกมาเปิดเผยว่า เธอเป็นที่รักของเพื่อน ๆ และครอบครัวมาก ทำให้ทุกคนใจสลายกับการจากไปของเธอ ส่วนเหยื่ออีกรายหนึ่งนั้น เป็นนักศึกษาชาวจีนที่เพิ่งจบจากมหาวิทยาลัยบอสตัน ซึ่งทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยังไม่เปิดเผยชื่อแต่อย่างใด
อย่างไรก็ดี หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่ตำรวจรวมถึงเอฟบีไอ ได้ทำงานกันอย่างหนักเพื่อสืบสวนโศกนาฏกรรมในครั้งนี้ และมองว่านี่เป็นการก่อการร้ายอย่างแท้จริง แต่ยังไม่ทราบว่าใครเป็นผู้บงการ หรือผู้ก่อเหตุ และยังไม่ทราบถึงมูลเหตุจูงใจแต่อย่างใด