ในขณะที่สถานการณ์บนคาบสมุทรเกาหลียังคงมีความตึงเครียดสูง อีกทั้งผู้คนต่างก็กังวลกับการยั่วยุจากเกาหลีเหนือ ก็มีผู้สังเกตการณ์ทางการเมืองหลายคน ออกมาแสดงความคิดเห็นถึงความเป็นไปได้ในการเกิดสงครามครั้งนี้

‘โค ซู-ซุค’ นักวิเคราะห์จากสถาบันวิจัยเศรษฐกิจ ได้เสนอความคิดเห็นในหัวข้อ “4 เหตุผลที่เกาหลีเหนือจะไม่เริ่มสงคราม” โดยบอกว่า ประการแรก เกาหลีเหนือซึ่งนำโดย ′คิมจองอึน′ ตระหนักดีถึงอำนาจทางทหารของสหรัฐอเมริกา ที่แสดงให้เห็นในช่วงสงครามอิรักเมื่อปี  2543 และเขาไม่ต้องการพบจุดจบเหมือน ′ซัดดัม ฮุสเซน′

ประการที่สอง ‘โค’ บอกว่าเกาหลีเหนือไม่สามารถโจมตีกรุงโซลได้ เพราะมีชาวจีนกว่า 200,000 คน อาศัยอยู่  และจีนซึ่งเป็นผู้สนับสนุนทางการเงินของเกาหลีเหนือ ย่อมไม่ปล่อยให้ประชาชนของตนถูกสังหารเป็นแน่  นี่ยังไม่นับประชาชนชาวจีนที่ไม่ได้ขึ้นทะเบียน ซึ่งคาดกันว่าน่าจะมีประมาณ 300,000 คน ที่อาศัยอยู่ในกรุงโซล

ประการที่สาม เกาหลีเหนือรู้ดีว่าไม่สามารถต่อกรกับกองกำลังเกาหลีใต้และสหรัฐฯ รวมถึงประเทศพันธมิตรได้ ไม่ว่าจะเป็นกองกำลังทางอากาศ กองทัพเรือ หรือแม้แต่กองกำลังภาคพื้นดินก็ตาม

และเหตุผลสุดท้าย ‘โค’ บอกว่า แท้จริงแล้ว ‘คิมจองอึน’ ต้องการ ‘สันติภาพ’ ไม่ใช่‘สงคราม’ เพื่อที่เขาจะสามารถปกครองประเทศที่แยกตัวออกมาอย่างโดดเดี่ยวจากชาวโลกไปได้อีกแสนนาน และแม้ว่าเกาหลีเหนือจะยากจนข้นแค้น แต่ “คิมจองอึน” นั้นเป็นบุคคลที่มั่งมีที่สุดในประเทศ ซึ่งหมายความว่าเขาก็จะเป็นผู้ที่สูญเสียมากที่สุดหากเกิดสงครามขึ้น ซึ่งเขาย่อมไม่อยากที่จะเสี่ยง

ขณะเดียวกัน “ชาง ยอง-ซก” นักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแห่งชาติโซล สังกัดสถาบันเพื่อสันติภาพและเอกภาพ แสดงความเห็นพ้องต้องกันกับ ‘โค ซู-ซุค’ ว่า ขณะที่ทั่วโลกต่างก็จับตามองและกังวลต่อภัยคุกคามจากนิวเคลียร์และขีปนาวุธของเกาหลีเหนือ แต่หากพิเคราะห์อย่างใกล้ชิดแล้ว จะเห็นว่า ‘คิมจองอึน’ ให้ความสำคัญกับการปฏิรูปการศึกษาและพัฒนาเศรษฐกิจ และเขามีการเตรียมพร้อมสำหรับอนาคตอันยาวไกล ภายใต้ความเชื่อที่ว่าเขาจะปกครองประเทศไปอีกนาน ดังนั้นนักวิจัยชาวโสมขาวจึงมองว่า คนที่มีวิสัยทัศน์เช่นนี้ย่อมจะไม่ก่อสงคราม

ย้อนกลับไปเมื่อเดือนธันวาคมปีที่แล้วเกาหลีเหนือได้ยิงทดสอบขีปนาวุธ และต่อมาเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา เกาหลีเหนือก็ทำการทดสอบนิวเคลียร์เป็นครั้งที่ 3 ซึ่งทำให้สหประชาชาติต้องใช้มาตรการคว่ำบาตรกับประเทศเผด็จการทันที

และนั่น ทำให้เกาหลีเหนือซึ่งไม่ยอมอ่อนข้อ ออกมาพ่นสงครามน้ำลายว่าจะโจมตีกรุงโซลและกรุงวอชิงตันด้วยนิวเคลียร์ รวมทั้งฉีกสัญญาการพักรบกับเกาหลีใต้และตัดสายด่วนระหว่างผู้นำทั้งสองประเทศทันที

ขณะที่สัปดาห์นี้ เกาหลีเหนือก็ประกาศให้คนงานจากนิคมอุตสาหกรรมแคซอง ในเขตปลอดทหาร ซึ่งเป็นความร่วมมือภาคอุตสาหกรรมระหว่างโสมแดงและโสมขาวตั้งแต่ปี 2547 อพยพออกจากพื้นที่ให้หมด ซึ่งการกระทำดังกล่าวทำให้หลายฝ่ายกังวลว่าเกาหลีเหนืออาจต้องการเริ่มสงครามในไม่ช้า

นอกจากทั้งสองท่านข้างต้นแล้ว ศาสตราจารย์ ‘ยัง มู-จิน’ จากมหาวิทยาลัยการศึกษาเกาหลีเหนือ ได้ให้ความเห็นว่า แท้จริงแล้วสิ่งที่เกาหลีเหนือต้องการจากการยั่วยุประสาทและสงครามน้ำลายครั้งนี้คือ การประชุมร่วมกับสหรัฐอเมริกา เพื่อนำไปสู่‘สนธิสัญญาสันติภาพ’ และไม่มีสัญญาณอะไรชี้ว่าจวนจะเกิดสงคราม ดังนั้นจึงขอให้ประชาชนอย่าได้วิตกกังวลให้มากนัก