ศิลปินส่วนใหญ่จะมีความคิดเป็นตัวของตัวเองแบบสุดโต่งที่เราก็ไม่อาจเข้าใจได้ ในบรรดานักสร้างสรรค์เหล่านี้มีบางคนที่ใช้ร่างกายมนุษย์ทั้งของตัวเองและคนอื่นสร้างออกมาเป็นผลงานสุดขั้วที่น่าทึ่งและน่ากลัวไปพร้อมๆกัน
ศิลปินใช้เลือดของตัวเองสร้างรูปปั้น
Marc Quinn กำลังยืนดูผลงานของตัวเอง
ที่มาภาพ hyde or die
Marc Quinn เป็นศิลปินชาวอังกฤษที่ได้แรงบันดาลใจมาจากภาพ Rembrandt ศิลปินชื่อดังในอดีตที่วาดภาพตัวเองติดต่อกันเป็นเวลาหลายปีตั้งแต่หนุ่มจนแก่ เขาจึงตัดสินใจจะทำแบบเดียวกัน แต่แทนที่จะใช้สีวาดเป็นภาพแบบทั่วๆ ไป เขาใช้เลือดของตัวเองที่แช่แข็งมาทำเป็นรูปปั้นส่วนหัวของตัวเองที่ดูน่าสยดสยองแทน
ที่มาภาพ npg
รูปปั้นแต่ละอันนี้จะต้องใช้เลือดของถึง 4.25 ลิตรในการสร้างขึ้นมา ซึ่งเป็นจำนวนพอๆ กับเลือดทั้งร่างกายของมนุษย์หนึ่งคนเลยทีเดียว เขาเก็บสะสมเลือดของตัวเองไว้โดยการไปให้แพทย์เจาะเลือดออกมา 0.4 ลิตร ทุกๆ 6 สัปดาห์ตลอดทั้งปี ปัจจุบันนี้เขาสร้างรูปปั้นได้ 5 ชิ้น โดยเริ่มตั้งแต่ปี ค.ศ.1991 และทำอันใหม่ขึ้นทุกๆ 5 ปี เพื่อเป็นการบันทึกความเปลี่ยนแปลงของหน้าตาตัวเองเมื่ออายุมากขึ้นเรื่อยๆ
ที่มาภาพ hyde or die
ผลงานของเขาชุดนี้ส่วนมากจะอยู่ในการครอบครองของนักสะสม และในปี ค.ศ.2009 ก็มีชิ้นหนึ่งถูกขายไปให้กับ National Portrait Gallery ประเทศอังกฤษ ในราคา 465,000 ดอลล่าร์สหรัฐ แต่การเก็บรักษาและจัดแสดงผลงานที่ทำจากเลือดนี้ค่อนข้างยุ่งยากมาก ผลงานจะต้องถูกตั้งแสดงไว้ในตู้แช่เย็นตลอดเวลา ไม่เช่นนั้นมันก็จะเริ่มละลาย
ที่มาภาพ mary boone gallery
Quinn บอกเอาไว้ว่า รูปปั้นรูปหัวชิ้นสุดท้ายจะสร้างขึ้นหลังจากเขาเสียชีวิตโดยใช้เลือดทั้งหมดในร่างกายของเขา ซึ่งกว่าจะถึงเวลานั้น ประมาณการได้ว่าจะใช้เลือดของเขาไปทั้งหมด 42.5 ลิตร
********************************************
...สร้างหุ่นจำลองตัวเอง... ...โดยใช้ผม เล็บ และฟันของตัวเองจริงๆ...
ที่มาภาพ ripleys
ในปี ค.ศ.1885 ศิลปินชาวญี่ปุ่น Hananuma Masakichi พบว่าตัวเองกำลังป่วยและจะเสียชีวิตจากโรควัณโรค เขาจึงได้สร้างหุ่นจำลองตัวเองขึ้นมาเพื่อเป็นของที่ระลึกให้กับหญิงคนรัก
Masakichi สร้างผลงานขึ้นในห้องที่เต็มไปด้วยกระจกเพื่อเขาจะได้เห็นรายละเอียดทุกอย่างของร่างกายตัวเอง ตั้งแต่เส้นเลือดไปจนถึงรูขุมขน หุ่นนี้ทำขึ้นจากไม้สีเข้มยึดต่อกันด้วยหมุด กาว และสลัก ซึ่งรอยต่อทั้งหมดนี้แนบเนียนเสียจนมองไม่เห็นแม้จะใช้แว่นขยายส่องดูก็ตาม และที่สุดยอดไปยิ่งกว่านั้นคือ หุ่นจำลองนี้มีชิ้นส่วนจริงๆ ของตัวศิลปินอยู่ด้วย
เพื่อที่จะได้หุ่นจำลองที่ตรงกับของจริงที่สุด Masakichi ดึงเส้นผมและเล็บของตัวเองใส่ไปให้ตำแหน่งเดียวกับร่างกายของเขา ถึงขนาดใช้สว่านเล็กๆ เจาะพื้นผิวให้เป็นรูขุมขนเหมือนของจริง และมีการบันทึกไว้ว่าเขาถึงกับถอนฟันของตัวเองออกมาใส่ให้กับหุ่นอีกด้วย
ที่มาภาพ Cracked
หลังจากเขาสร้างหุ่นเสร็จสิ้นแล้ว Masakichi จัดงานแสดงผลงานของตัวเองโดยเขาไปยืนอยู่ข้างๆ หุ่นแล้วให้ผู้คนเดากันว่า อันไหนคือคนจริง อันไหนคือหุ่นจำลอง
ที่มาภาพ anomalies
แต่ท้ายที่สุดแล้ว Masakichi ก็กลับรอดชีวิตจากโรควัณโรค และอยู่ต่อไปอีก 10 ปี ในสภาพที่ถูกแฟนสาวทิ้ง หมดตัว และอาจจะไม่มีฟันเหลือด้วย หุ่นจำลองของเขาถูกขายไปให้กับ Robert Ripley ผู้ก่อตั้ง Ripley's Believe it or not ในราคาเพียง 10 เหรียญดอลล่าร์สหรัฐในช่วงต้นศตวรรษที่ 20
ที่มาภาพ ripleys
*************************************************
...ถูกยิงและถูกตอกร่างไว้กับรถเพื่องานศิลปะ...
ที่มาภาพ transpositions
เป็นที่ถกเถียงกันมานานเป็นร้อยๆ ปีแล้วว่า ศิลปะคืออะไรกันแน่ และอะไรบ้างที่เรียกได้ว่าเป็นศิลปะ สำหรับ Chris Burden ศิลปินการแสดงแล้ว ศิลปะของเขาคือ การถูกยิงด้วยปืนไรเฟิล
ในปี ค.ศ.1971 ผลงานชื่อว่า Shoot ของ Burden คือการให้เพื่อนยิงปืนไรเฟิลเข้าใส่ตัวเขาโดยให้ถากเนื้อต้นแขนไป แต่ด้วยความผิดพลาดหรืออะไรสักอย่าง กระสุนที่ควรจะแค่ถากๆ นี้กลับโดนเข้าไปที่แขนเขาเต็มๆ ต่อมา Burden บรรยายประสบการณ์ในครั้งนั้นว่า "เลวร้ายมาก แต่ก็น่าสนใจดี"
ที่มาภาพ juleswidmayer
Burden ซึ่งพออกพอใจกับผลที่ได้ เริ่มสร้างงานศิลปะที่เป็นการทำร้ายตัวเองต่อไป ไม่กี่ปีต่อมา เขาตรึงร่างตัวเองแบบตรึงไม้กางเขนเข้ากับหลังคารถ Volkswagen และขับไปรอบๆ เมือง ซึ่งผลงานครั้งนี้กลายเป็นที่โด่งดังขึ้นมาถึงขนาดกลายเป็นส่วนหนึ่งในเนื้อเพลง "Joe the Lion" ของ ศิลปิน Devid Bowie
ที่มาภาพ volny
แต่ผลงานศิลปะแบบทำร้ายตัวเองของเขาไม่ได้มีเพียงแค่นี้ ในสมัยที่เขาเป็นนักศึกษาทำศิลปะนิพนธ์ MFA เขาขังตัวเองไว้ในล็อคเกอร์ขนาด กว้าง 2 ฟุต สูง 2 ฟุต และลึก 3 ฟุต เป็นเวลา 5 วันเต็มโดยไม่กินอะไรเลย นอกจากนั้น ยังมีผลงานที่เขาใช้กำไลทองแดงตรึงข้อมือ ขา และคอตัวเองไว้กับพื้น โดยมีสายไฟแรงสูงอยู่รอบๆ พร้อมกับถังใส่น้ำ ซึ่งคนดูสามารถสาดน้ำใส่เขาเพื่อให้ไฟช็อตได้ แต่ก็น่าแปลกที่ไม่มีใครทำแบบนั้นสักคน
ที่มาภาพ medienkunstnetz
***********************************************
...อาเจียนลงบนผืนผ้าใบเพื่อสร้างงานศิลปะ...
ที่มาภาพ ihazhoumous
ในบรรดาผลงานศิลปะสมัยใหม่ที่ดูเหมือนกับเป็นภาพที่ใครมาอาเจียนใส่ หนึ่งในนั้นคืองานของ Millie Brown ศิลปินสาวสร้างผลงานภาพวาดขึ้นมาจากอาเจียนของเธอจริงๆ
ในการสร้างผลงาน Brown จะไม่กินอะไรเลยเป็นเวลาก่อนหน้านั้น 2 วัน เพื่อไม่ให้มีเศษอาหารไปปนอยู่ในผลงาน หลังจากนั้น เธอจะดื่มนมที่ผสมสีต่างๆ เข้าไป ล้วงคอ แล้วอาเจียนเอาสีออกมาลงบนผืนผ้าใบ ซึ่งทั้งหมดนี้ใช้เวลาหลายชั่วโมงให้การทำให้เสร็จสิ้น
ที่มาภาพ xaxor
นอกจากขายผลงานที่ทำเสร็จเป็นชิ้นแล้ว เธอยังเปิดแสดงการสร้างผลงานต่อหน้าผู้ชมอีกด้วย (ดูเสร็จแล้วคงแทบจะไปคายของเก่าสร้างผลงานของตัวเองออกมาบ้าง) ซึ่งผลงานแบบชิ้นนี้ ขายได้ถึง 2,400 เหรียญดอลล่าร์
ผลงานราคา 2,400 เหรียญดอลล่าร์
ที่มาภาพ xaxor
ถึงแม้จะดูไร้สาระแค่ไหน Brown ก็มีชื่อเสียงจากผลงานของเธอมาก ถึงขนาดได้รับเชิญให้ไปอาเจียนใส่ Lady Gagaาพ ในวิดีโอที่ใช้ฉายในการแสดงคอนเสิร์ต Monster Ball Tour อีกด้วย
ร่วมงานกับ Lady Gaga ในวีดีโอที่ใช้ฉายในคอนเสิร์ต
ที่มาภาพ gaga journal
*********************************************
...สร้างรูปสลักจากศพ...
ที่มาภาพ serkadis
Honore Fragonard เป็นนักกายวิภาคชาวฝรั่งเศสในช่วงยุคศตวรรษที่ 18 เขาเป็นลูกพี่ลูกน้องกับนักวาดภาพที่มีชื่อเสียง Jean-Honore Fragonard และอาจจะด้วยสาเหตุนี้ เขาจึงตัดสินใจเข้าสู่โลกแห่งศิลปะด้วยคน ด้วยการเปลี่ยนร่างคนตายให้กลายเป็นรูปแกะสลัก
Fragonard ได้ศพที่ใช้สร้างผลงานมาจากลานประหาร โรงเรียนแพทย์ หรือแม้แต่ศพที่ขุดมาจากหลุมแบบสดๆ ร้อนๆ จากนั้นก็ใช้วิธีการเก็บรักษาศพที่เป็นความลับซึ่งปัจจุบันนี้ก็ยังไม่มีใครเข้าใจว่าทำอย่างไร แต่จากเท่าที่้นักวิทยาศาสตร์ปัจจุบันศึกษาดู พบว่าศพเหล่านี้ถูกฉีดด้วยของเหลวจากสารบางอย่างที่เขาคิดค้นขึ้น จากนั้นก็แยกชิ้นส่วนร่างกายออกมาก่อนจะติดมันกลับเข้าไปให้อยู่ในท่าทางต่างๆ บางครั้งก็มีการรวมชิ้นส่วนของสัตว์เข้าไปในผลงานด้วย และท้ายที่สุด ก็ทาน้ำมันให้ทั่วเพื่อกันแมลง
ที่มาภาพ ucarochester
Fragonard สร้างผลงานด้วยวิธีนี้ขึ้นมาประมาณ 700 ชิ้น ซึ่งมีเพียง 21 ชิ้นเท่านั้นที่ยังหลงเหลืออยู่จนถึงทุกวันนี้ และหนึ่งในชิ้นที่โด่งดังที่สุดก็คือร่างกายผู้ชายเหลือแต่กระดูกที่กำลังขี่ม้าที่เหลือแต่กระดูกเหมือนกัน ความจริงแล้วแต่ก่อนผลงานชิ้นนี้จะประกอบด้วยตัวอ่อนของทารกมนุษย์ แกะ และม้าจำนวนมากอีกด้วย แต่ปัจจุบันนี้ไม่มีใครทราบว่ามันอยู่ที่ไหนกันแน่
ที่มาภาพ ucarochester
Fragonardาพ สร้่างผลงานเหล่านี้ขึ้นมาขณะที่เขารับตำแหน่งเป็นเป็นศาสตราจารย์คนแรกอยู่ในโรงเรียนสำหรับสัตวแพทย์แห่งแรกของโลกเป็นเวลา 6 ปี หลังจากนั้นในปี ค.ศ.1771 เขาก็ถูกไล่ออกด้วยข้อหาว่าเป็นคนวิกลจริต
************************************************
...ศิลปะปล่อยให้ผู้ชมทำอะไรก็ได้กับตัวเอง...
ที่มาภาพ
ศิลปินในหัวข้อบนๆ ส่วนมากจะสร้างผลงานขึ้นมาโดยการทำร้ายตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นใช้เลือดตัวเอง ดึงเล็บตัวเอง หรือทำให้ตัวเองอาเจียน แต่สำหรับ Marina Abramovic ศิลปินสาวชาวเซอร์เบีย เธอปล่อยให้คนดูเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะทำอะไรกับร่างกายเธอ และแน่นอนว่าผลที่ได้ไม่น่าดูนัก
ก่อนหน้านี้ เธอทำการแสดงศิลปะมาก่อนหลายชิ้น เช่น การแทงนิ้วตัวเอง และการนอนอยู่กลางกองไฟที่เกือบทำให้เธอเสียชีวิต ในปี ค.ศ.1974 เธอตัดสินใจสร้างผลงานการทำร้ายตัวเองให้สูงขึ้นไปอีกขั้นด้วยผลงานที่ชื่อว่า "Rhythm 0" โดยการยืนนิ่งอยู่หน้าโต๊ะที่มีของวางอยู่ 72 ชิ้น รวมถึงอาวุธอันตรายเช่น ปืน โซ่เหล็ก ขวาน และใบมีดโกน นอกจากนั้น จะมีป้ายบอกเหล่าผู้ชมว่า พวกเขาสามารถใช้ของบนโต๊ะเหล่านี้ทำอะไรก็ได้กับ Abramovic โดยที่เธอจะไม่พูดอะไรและไม่ขัดขืน
ที่มาภาพ artobserved
เริ่มแรกผู้ชมพากันลองแหย่เธอเล่นๆ อย่างพยายามจั๊กกะจี้เธอด้วยขนนก หรือเอาเสื้อโค้ทมาแขวนไว้ตามตัวเธอ อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไปปฏิกิริยาของผู้ชมก็เริ่มก้าวร้าวขึ้น บางคนฉีกเสื้อผ้าเธอออกและเอาหนามกุหลาบกดลงไปบนตัวเธอ บางคนก็ใช้มีดกรีดตามตัวเธอ แต่ที่น่ากลัวกว่านั้นคือ มีบางคนเอาปืนที่มีกระสุนอยู่จ่อไปที่เธอแต่ Abramovie ก็ไม่ขัดขืนแต่อย่างใด การแสดงนี้กินเวลา 6 ชั่วโมง
ที่มาภาพ meandthewhitelash , gmoa
หลังจาก 6 ชั่วโมงผ่านไป Abramovic ก็เริ่มขยับแล้วเดินเข้าไปในกลุ่มผู้ชม ซึ่งพากันแตกตื่นและวิ่งหนีไปหมด ส่วนที่แปลกที่สุดของเรื่องนี้ไม่ใช่แค่ไอเดียการแสดงแปลกๆ แบบนี้เท่านั้น แต่เป็นการที่คนธรรมดาที่มาชมงานศิลปะกลายเป็นคนที่พร้อมทำอันตรายคนอื่นได้อย่างง่ายดาย ดังนั้น น่าจะถือได้ว่าการแสดงของเธอครั้งนี้ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
ที่มา : Cracked
แปลและเรียบเรียงโดยทีมงาน everyday-readers.com