Body Farm – ฟาร์มศพ

 

ในรัฐ Tennessee สหรัฐอเมริกา มีป่าแห่งหนึ่งซึ่งเต็มไปด้วยซากศพที่กำลังเน่าเปื่อย ผู้คนจำนวนมากเดินทางมาเพื่อสำรวจป่านี้อยู่เรื่อยๆ แต่กลับไม่มีใครรู้สึกตกใจ หรือคิดจะทำอะไรกับศพเหล่านี้ เพราะที่นี่คือ Body farm หรือ ฟาร์มศพ ซึ่งเป็นสถานที่ๆ ทิ้งศพจำนวนมากเพื่อให้นักศึกษาด้านมานุษยวิทยาได้ศึกษารูปแบบการเน่าเปื่อยของร่างกายมนุษย์ ซึ่งความรู้ที่ได้จากตรงนี้จะถูกนำไปใช้ในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีในสาขาอื่นที่เกี่ยวข้องต่อไป

 

 

ที่มาภาพ transhuman , curiosoebizarroo , theatlantic.com , tumblr

 

ฟาร์มศพแห่งแรกก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1981 โดยนายแพทย์ William M. Bass ผู้ซึ่งเป็นศาสตราจารย์สอนวิชามานุษยวิทยาในมหาวิทยาลัย Tennessee  จุดเริ่มต้นมาจากที่ในตอนนั้นข้อมูลความรู้ทางด้านการวิเคราะห์ซากศพมีอยู่น้อยมาก ทำให้เวลาที่เกิดคดีอะไรขึ้นตำรวจมักจะต้องมาขอความช่วยเหลือจากศาสตราจารย์อยู่เสมอๆ ดังนั้น ศาสตราจารย์จึงได้หาสถานที่สำหรับทิ้งศพเพื่อใช้ในศึกษาการเน่าเปื่อยของร่างกายมนุษย์ และสถานที่นี้ก็ได้เป็นแรงบันดาลใจให้กับนักเขียนที่ชื่อ Patricia Cornwall เขียนนวนิยายแนวสอบสวนเรื่อง Body farm ขึ้นมา และชื่อนี้ก็ได้กลายเป็นชื่อสำหรับเรียกสถานที่สำหรับศึกษาศพนี้ไป

 

 

William M. Bass และประตูทางเข้าฟาร์มศพที่รัฐ Tennessee

ที่มาภาพ spydersden , nndb.com

 

ฟาร์มศพแห่งแรกนี้เป็นป่าขนาด 10,000 ตารางเมตร ล้อมรอบด้วยรั้วลวดหนามเพื่อป้องกันคนภายนอกหลงเข้าไป ศพที่นำมาศึกษานี้มาจากทั้งผู้ที่ประสงค์จะบริจาคให้สถาบันเพื่อใช้ในการศึกษา และศพไร้ญาติ ซึ่งในปีๆ หนึ่งจะมีจำนวนมากกว่า 100 ศพ แต่จำนวนศพที่ใช้ในการศึกษาครั้งหนึ่งๆ จะอยู่ที่ประมาณ 10 – 40 ร่างเท่านั้น

 

ในฟาร์มนี้ศพจะถูกวางไว้กระจัดกระตายตามพื้นที่ต่างๆ เช่น บนพื้น บนภูเขา บนพื้นซีเมนต์ ในกระเป๋า ในถุงพลาสติก ในน้ำ หรือฝังไว้ในหลุมตื้นๆ เพื่อศึกษาการเน่าเปื่อยให้สภาพแวดล้อมต่างๆ กัน (ใครหลงเข้าไปคงขวัญหนีดีฝ่อหมดแน่ๆ) ซึ่งในบางครั้งก็จะมีการจัดสภาพพิเศษตามคำขอจากทางตำรวจที่กำลังทำการสืบสวนอยู่และอยากได้ข้อมูลเฉพาะเจาะจง ผลการศึกษาของแต่ละศพเช่น สภาพศพ อัตราการเน่าเปื่อย และข้อมูลแมลงต่างๆ ที่มาอาศัยอยู่บนศพ ก็จะถูกจดบันทึกไว้อยู่เป็นระยะๆ รวมถึงเมื่อศพเน่าเปื่อยไปหมดจนเหลือแต่โครงกระดูกแล้ว ก็จะมีการบันทึกสภาพของโครงกระดูกต่อไป

 

ผู้ที่ใช้งานฟาร์มศพนี้นอกจากจะเป็นนักศึกษาของมหาวิทยาลัยแล้ว บางครั้งตำรวจและ FBI ฝึกหัดก็จะเดินทางมาดูงาน หรือแม้แต่นักศึกษาที่เรียนจบไปแล้วบางครั้งก็กลับมาตามดูผลการศึกษาของตัวเองต่อ

FBI ฝึกหัดมาดูงานและเรียนรู้จากฟาร์มศพ

ที่มาภาพ FBI , flickr

นอกเหนือจากฟาร์มศพของมหาวิทยาลัย Tennessee แล้ว ยังมี 4 แห่งทั่วประเทศที่เป็นของมหาวิทยาลัยต่างๆ ได้แก่ มหาวิทยาลัย Western Carolina, มหาวิทยาลัยรัฐ Texas, มหาวิทยาลัยรัฐ Sam Houston และ มหาวิทยาลัย California แห่ง Pennsylvania นอกจากนี้ ยังมีข้อเสนอขอเปิดฟาร์มศพอีกหลายแห่งทั่วประเทศ แต่ส่วนใหญ่และจะไม่ผ่านเพราะทุนสนับสนุนไม่เพียงพอ

ฟาร์มศพที่มหาวิทยาลัย Western Carolina, มหาวิทยาลัยรัฐ Texas
และมหาวิทยาลัย California แห่ง Pennsylvania

ที่มาภาพ Western Carolina University , 

Texas State University , atlasobscura.com

อย่างไรก็ตาม ถึงฟาร์มศพจะดูเป็นวิธีที่ดีสำหรับการศึกษาและมีประโยชน์ในหลายๆ ด้าน แต่กว่าจะทำให้เกิดขึ้นได้จริงนั้นก็มีปัญหามากมายเต็มไปหมด เช่น ในตอนที่จะมีการสร้างฟาร์มศพที่รัฐ Texas ประชาชนที่อยู่แถวๆ นั้นก็ไม่เห็นด้วยและออกจะต่อต้านความคิดนี้ เพราะมีความเป็นห่วงทั้งเรื่องของกลิ่น สัตว์กินซากที่จะตามมา และที่น่ากลัวที่สุดคืออาจจะเกิดโรคระบาดขึ้น ซึ่งก็น่าเห็นใจอยู่ เพราะถ้าจะให้มีศพเป็นร้อยๆ มาอยู่แถวบ้าน เป็นใครก็คงไม่เอาด้วยทั้งนั้น ดังนั้น ทางมหาวิทยาลัยก็ต้องยืนยันว่า ศพที่นำมาศึกษาจะต้องผ่านการตรวจสอบแล้วว่า ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ไม่ได้ป่วยเป็นโรคติดต่อ ได้รับวัคซีนครบถ้วน และไม่เป็นพาหะนำโรคติดต่อ กว่าจะตกลงกันได้ลงตัวและสร้างฟาร์มศพต่อได้ ก็ต้องย้ายสถานที่ออกไปห่างจุดที่ตั้งใจไว้หลายไมล์ ไม่นับรวมถึงการนำศพไปทิ้งไว้เฉยๆ แบบนี้ก็ขัดกับความเชื่อและหลักทางศาสนาของหลายๆ ท้องที่ จึงทำให้การสร้างฟาร์มศพไม่เกิดขึ้นในต่างประเทศ หรือในหลายๆ ที่ในประเทศอเมริกาเอง

 

ที่มา Wikipedia , HowStuffWorks

ที่มาภาพประกอบ documentingreality.com

แปลและเรียบเรียงโดย

ทีมงาน everyday-readers.com

 

Credit: http://www.everyday-readers.com/
6 เม.ย. 56 เวลา 20:00 5,496 130
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...