ไม่ใช่เรื่องง่ายที่สินค้า "แบรนด์ไทย" จะพลิกแซงแชมป์เก่าแบรนด์ระดับโลกได้ จึงเป็นเรื่องที่น่ายินดีที่ "เอสโคล่า" ของค่ายเสริมสุขใช้เวลาแค่ 2 เดือนขึ้นแท่นอันดับ 2 ของธุรกิจน้ำดำสำเร็จเขี่ย "เป๊ปซี่" ที่เป็นแชมป์ตลอดกาลร่วงมาอยู่อันดับ 3 อย่างน่าเจ็บใจ พลาดให้ใครไม่พลาดแต่ดันมาพลาดท่าให้กับ "พันธมิตร" คนไทยที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ในสมรภูมิน้ำดำมูลค่า 38,000 ล้านบาท มาอย่างยาวนาน
เบื้องหน้าเบื้องหลังการขึ้นแท่นอันดับ 2 ของเอสโคล่าย่อมมิได้มาเพราะโชคช่วย แต่เป็นเพราะ "จุดแข็ง" ที่กุมสภาพช่องทางการจัดจำหน่ายไว้ได้ทั้งหมด ด้วยจำนวนร้านค้ากว่า 2 แสนราย พร้อมกับไลน์การผลิตขวดบรรจุน้ำดำอยู่ในมือของเสริมสุขแต่เพียงผู้เดียว
นี่คืออาวุธลับของ "เอสโคล่า" อย่าคิดว่าขวดไม่สำคัญเคยมีเรื่องเล่าสู่กันฟังว่าในสมัยที่ธุรกิจน้ำเมายังไม่ได้ผูกขาดอย่างปัจจุบันนี้ มียักษ์ใหญ่เป็นคู่แข่งกันอยู่สองรายกลยุทธ์ตัดขาคู่แข่งให้ได้ผลชะงัดคือการทำให้ขวดของ คู่แข่งหายไปจากตลาด จึงกว้านซื้อมาเก็บไว้ทำเพื่อให้ ขวดขาดตลาด เมื่อไม่มีขวดบรรจุเหล้าก็ไม่มีสินค้าวางในตลาด
การที่ "เสริมสุข" กุมโรงงานผลิตขวดไว้ในมือเท่ากับกุมสภาพได้ครึ่งหนึ่งแล้ว
ไม่ต้องพูดถึงช่องทางจัดจำหน่ายที่แข็งแกร่งย่อมมีความสำคัญไม่แพ้กัน ยิ่งมาอยู่ร่วมครือเดียวกับไทยเบฟของ "เสี่ยเจริญ สิริวัฒนภักดี" ที่มีเครือข่ายอันทรงพลัง มีร้านอาหารในมือ 300 ร้าน รถขนวิ่งส่งสินค้าได้ทุกหมู่บ้านในประเทศไทย
ผนวกกับความใจถึงของเสริมสุขให้ "กำไร" ร้านค้าโดยตรงไม่ใช่แจกเป็นของชำร่วยเหมือนคนอื่นๆ เป็นกลยุทธ์ที่ "โดนใจ" คู่ค้ามากกว่าจึงกลายเป็นแรงส่งให้เอสโคล่า เข้าสู่ช่องทางจัดจำหน่ายได้ง่ายขึ้น แม้ตัวโปรดักส์จะใหม่รสชาติช่วงแรกๆ อาจไม่โดนแต่หลังๆ ก็ปรับจนเข้าที่เข้าทาง
ความสำเร็จของเอสโคล่าที่สร้างความตื่นตะลึง เพราะคู่แข่งถูกตัดแข้งตัดขาไม่มีสินค้าจำหน่าย ทำให้นึกถึงคำพูด "สันติ ภิรมย์ภักดี" เคยให้สัมภาษณ์ไว้นานแล้ว ได้อย่างขึ้นใจว่า สินค้าจะดีแค่ไหนหากไม่ถึงมือลูกค้า ลูกค้าไม่เห็นสินค้าของเรา ก็ยากจะประสบความสำเร็จ