ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เหตุสะเทือนขวัญในโรงเรียนที่เมืองนอกเรียกว่า School massacre จะแตกต่างจากคำว่าเหตุรุนแรงในโรงเรียน (School Violence) อยู่หลายประการ โดยผู้ที่ก่อเหตุยิงในโรงเรียนที่มักจะกลายเป็นข่าวฮือฮา มักจะไม่เลือกเป้าหมายเฉพาะเจาะจง แต่จะโจมตีแบบไม่เลือกหน้า หรือแม้ว่าจะตั้งใจยิงผู้หนึ่งผู้ใดในโรงเรียน แต่ท้ายที่สุดก็มักจะต้องมีคนอื่นๆ ได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิตจำนวนมาก
ประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจคือ เหตุรุนแรงทั่วไปในโรงเรียน ประเภทแก๊งต่างๆ ยกพวกตะลุมบอนกันหรือไล่แทงกันนั้น เกิดขึ้นบ่อยจนแทบจะเรียกได้ว่าเป็นเรื่องธรรมดา โดยเฉพาะในโรงเรียนมัธยมย่านคนผิวสีหรือชนชั้นแรงงานตามเมืองใหญ่ต่างๆ
แต่เหตุนักเรียนหรือมือปืนบุกเข้าไปกราดยิงในโรงเรียนนั้น มักจะเกิดขึ้นตามโรงเรียนของคนผิวขาวในย่านชนชั้นกลาง หรือเมืองขนาดกลาง และตามพื้นที่ชนบทต่างๆ ที่ไม่ค่อยมีประวัติเกิดอาชญากรรมรุนแรง
ขณะที่ผู้เชี่ยวชาญด้านจิตวิทยาเด็กเปิดเผยว่า จากสถิติของการกราดยิงในโรงเรียนจะพบว่า ผู้ก่อเหตุมักจะมีส่วนเกี่ยวข้องในโรงเรียนที่เกิดเหตุ ไม่ว่าจะเป็นเด็กนักเรียน ศิษย์เก่าที่จบไปแล้ว หรือถูกไล่ออก ครูอาจารย์หรือเจ้าหน้าที่ต่างๆ แต่ในบางกรณีมือปืนก็อาจเป็นคนนอก ที่ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโรงเรียนเลยก็เป็นได้ สำหรับกรณีที่ผู้ก่อเหตุเป็นเด็กนักเรียนนั้น ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กที่เกี่ยวข้องกับเหตุทะเลาะวิวาทในโรงเรียน เป็นเด็กที่ถูกล้อเลียนกลั่นแกล้ง หรือมีปัญหาครอบครัว ขณะที่เด็กอีกไม่น้อยมีปัญหาทางจิตโดยเฉพาะการฝักใฝ่และหมกมุ่นกับความรุนแรง
จริงๆ แล้วยังมีเหตุการณ์กราดยิงและโศกนาฏกรรม ในโรงเรียนของสหรัฐอีกมากมาย มีคนเสียชีวิตมากบ้างน้อยบ้าง ซึ่งไม่ว่าเหตุสะเทือนขวัญดังกล่าวจะมีสาเหตุมาจากเรื่องใด แต่มันก็นำมาซึ่งความสูญเสียของทุกฝ่าย ไม่เว้นแม้แต่ตัวของผู้ก่อเหตุเอง แต่ที่น่าหนักใจยิ่งกว่าก็คือ ยังไม่มีมาตรการที่เป็นรูปธรรมใดๆ จากรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ผู้เกี่ยวข้อง ในการป้องกันเหตุร้ายดังกล่าว จึงมีความเป็นไปได้สูงว่า เหตุสังหารหมู่ที่โรงเรียนอาจดำเนินต่อไป เป็นโศกนาฏกรรมที่ไม่รู้จบในโรงเรียนของชาวอเมริกันก็เป็นได้
และนี้คือ สุดยอดเหตุการณ์สังหารหมู่
ในโรงเรียนที่ร้ายแรงที่สุดที่เกิดขึ้นทั่วโลก
อันดับ 10 - Cologne School Massacre
การสังเหารหมู่ที่โรงเรียนโคโลญจน์เป็นการสังหารหมู่
ที่แปลกสักหน่อยเพราะคนร้ายไม่ได้ใช้ปืน
คือเมื่อวันที่ 11 มิถุนายน 1964 เมื่อมีนายคนหนึ่งชื่อ Walter Seifert อายุ 42 ปี ใช้ถัง insecticide (ถังสะพายฉีดยาฆ่าแมลง) บรรจุเชื้อเพลิงไวไฟ กลายเป็น flame flamethrower (เครื่องพ่นไฟ ใครๆที่ไม่เคยเห็นก็ดูหนังสงคราม ที่อเมริกาใช้เครื่องนี้พ่นใส่ทหารญี่ปุ่นเอาเองนะ
นอกจากนี้ยังใช้ homebuilt mace (อาวุธลูกตุ้มชนิดหนึ่ง) จากนั้นก็เปิดฉากใช้เครื่องพ่นไฟ พ่นใส่เด็กและอาจารย์ที่อยู่ในห้องเรียนของโรงเรียนโคโลญจน์ ประเทศเยอรมันนี ไฟลุกติดผนังทั้งสี่ด้านส่งผลให้เด็กได้ 8 คน และครูตายอีกสอง ส่วนทางด้านนาย Walter Seifert ก็ได้ฆ่าตัวตายตามด้วยยาเม็ดไซยาไนต์ในวันต่อมาหลังจากถูกตำรวจคุมตัว
***********************************************
อันดับ 9 - The Ecole Polytechnique Massacre
นี้คือเหตุสังหารหมู่ที่ร้ายแรงที่สุด
ในประวัติศาสตร์ของแคนาดา
เมื่อวันที่ 6 ธันวาคม 2532 นายมาร์ค เลอไพล์ (Marc Lepine) วัย 25 ปี ใช้ปืนไรเฟิ้ลกึ่งอัตโนมัติสังหารนักศึกษาหญิงตามชั้นเรียน และคาเฟทีเรียของ ดิ เอกอล โพลีเทคนิค ของมหาวิทยาลัยมอนทรีออล ในนครมอนทรีออล ของแคนาดา (โรงเรียนนี้มีนักวิทยาศาตร์ชั้นนำเป็นครูสอน และรับเฉพาะนักเรียนที่มีความปราดเปรื่องสูง)
เขาสังหารไป 14 คน (ผู้หญิงทั้งหมด)ก่อนที่เขาจะฆ่าตัวตาย โดยทิ้งโน๊ตไว้ว่า เขากำลังต่อต้านพวกสนับสนุนสิทธิสตรี หรือเฟมินิสต์ ที่ทำลายชีวิตเขา ทำให้วันดังกล่าวกลายเป็นวันรำลึกถึงเรื่องการใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงแห่งชาติของแคนาดา (Canada's National Day of Remembrance and Action on Violenceagainst Women)
**************************************************
อันดับ 8 - Columbine High School Massacre
ตาย 15 คน บาดเจ็บ 24 คน
เหตุกราดยิงในโรงเรียนของสหรัฐยุคหลังๆ
ที่มีชื่อเสียง (ในทางไม่ดี) มากที่สุดและมีผู้เสียชีวิตมากที่สุด
คงหนีไม่พ้นเหตุสะเทือนขวัญที่โรงเรียนมัธยมโคลัมไบน์ ในเจฟเฟอร์สันเคาน์ตี้ รัฐโคโรราโด เมื่อวันที่ 20 เมษายน 2542 โดยสองนักเรียนวัยรุ่น อีริค แฉริส (Eric Harris) และ ไดแลน เคลโบลด์ (Dylan Klebold)
พวกเขาควงปืนหลายกระบอกบุกเข้าไปในโรงเรียน ก่อนกราดยิงเข้าใส่นักเรียนและอาจารย์อย่างไม่เลือก ส่งผลให้เพื่อนนักเรียนเสียชีวิต 12 คน อาจารย์เสียชีวิต 1 คน และมีผู้บาดเจ็บ 24 คน ก่อนที่ทั้งคู่จะยิงตัวตาย
เหตุสะเทือนขวัญครั้งนั้น ส่งผลกระทบต่อชาวอเมริกาในด้านต่างๆอย่างที่ไม่เคยปรากฎมาก่อนทั้งในส่วนของความพยายามเสนอกฎหมายควบคุมอาวุธปืน การตระหนักถึงปัญหาความรุนแรงในโรงเรียน รวมถึงอิทธิพลของสื่อภาพยนตร์ เพลง อินเตอร์เนต และวีดีโอเกมส์ที่มีต่อวัยรุ่น เพราะว่ามีการสอบสอนพบว่านักเรียนที่ก่อเหตุทั้งคู่ชอบเล่นเกมส์ DOOM มาก
นอกจากนี้ ยังเป็นสัญญาณที่ชี้ให้เห็นถึงความเสื่อมทรามอย่างหนักของสภาพสังคมและครอบครัวของชนชั้นกลางชาวอเมริกัน แต่ที่สำคัญคือ มีเหตุการณ์กราดยิงในโรงเรียนต่อมาอีกหลายครั้ง ในสหรัฐจนถึงปัจจุบัน มีความเป็นไปได้สูงว่าผู้ก่อเหตุล้วนได้รับอิทธิพลและลอกเลียนแบบเหตุโศกนาฏกรรมในครั้งนี้
***********************************************
อันดับ 7
University of Texas Clock Tower Shootings
ตาย 17 คน บาดเจ็บ 12 คน
1 สิงหาคม 1966 ที่บริเวณมหาวิทยาลัยเท็คซัส
นายชาร์ล โจเซฟวิตแมน (Chaeles Whitman )
หลังจากที่เขาฆ่าภรรยาและแม่ของเขา โดยเขาลงมือฆ่าแม่ของเขาก่อน โดยเอามีดแทงเธอที่หน้าอกจนเป็นแผลใหญ่ แล้วยิงซ้ำด้วยปืนสั้นที่กะโหลกด้านหลัง หลังจากนั้นชาร์ลีเขียนจดหมายอย่างประณีตด้วยลายมือของตัวเองแปะไว้ข้างศพแม่ของเขาว่า "ผมเพิ่งฆ่าแม่ ถ้าสวรรค์มีจริง แม่คงกำลังเดินทางไปสวรรค์ แต่ถ้าไม่มีสวรรค์ ตอนนี้แม่ก็พ้นไปแล้วจากความเจ็บปวด ทุกข์ทนของโลกมนุษย์ ผมรักแม่สุดชีวิต" ส่วนภรรยาของเขานั้น เขาฆ่าเธอในขณะที่เธอนอนหลับ เขาเดินไปแทงเธอด้วยมีดที่หน้าอกสามแผลใหญ่ เธอตายทันที หลังจากนั้นจึงห่อศพด้วยความประณีตด้วยผ้าปูเตียง
7 โมงเช้า ชาร์ลีขับรถไปร้านค้าใหญ่ ขอซื้อรถเข็นใส่ของ หลังจากนั้นจึงไปที่ธนาคารออสตินเบิกเงิน 250 เหรียญ ต่อมาก็ไปที่ร้านเดวิด ฮาร์ดแวร์ ซื้อปืนคาร์บินเอ็มจุดสามศูนย์ แคลิเบอร์ หลังจากนั้นเขาไปที่ร้านชัคกันชอป ซื้อกระสุนและแมงกาซีนเอ็ม 1 หลายร้อยนัด เขาจ่ายเช็ค คนขายถามเล่นๆว่าจะเอาไปยิงอะไรมากมายปานนี้ เขาบอกว่า "ยิงหมู"
เช้า 9 โมงครึ่ง ชาร์ลีไปร้านเซียร์โรบัค ซื้อลูกซองสั้นเบอร์ 2 แล้วเขาก็กลับมาที่บ้าน หยิบ 6 ม.ม.เรมิงตันโบลต์แอ็กชั่นไรเฟิลติดกล่องขยายสี่เท่า, จุดสามห้า แคลิเบอร์ เรมิงตัน ปัมท์ไรเฟิล, 9 ม.ม.ลูเกอร์พิตอล, จุดสองห้า แคลิบอร์ กาเลซี เบรสเซีย พิสตอล, จุดสามเจ็ด สมิท แอนด์ เวสสัน แม็กนั่ม รีวอลเวอร์ พร้อมกระสุนอีกกว่าห้าร้อยนัด ทั้งหมดใส่ลงรถเข็น นอกจากนี้ชาร์ลียังเพิ่มมีดโบวี่อีก 2 เล่ม ขวาน กระโถฉี่ ขวดน้ำ น้ำมัน เทป กาว ไฟแช็ค เชือก ไฟฉาย นาฬิกา วิทยุทรานซิสเตอร์ อาหารกระป๋อง ลูกเกด น้ำยาดับกลิ่น และกระดาษชำระ
และ 11 นาฬิกา ของวันที่ 1 สิงหาคม 1966 ชาร์ลีแต่งกายแบบช่างซ่อมด้วยสีเทา ทับกางเกงยีนส์ อาวุธทั้งหมดซ่อนไว้ในกล่องเครื่องมือบนรถเข็น เขาเข็นตรงไปที่ทางเข้าตึกหอคอยสูง จากนั้นก็เริ่มไล่ยิงคนในบริเวณทีละคนสองคน ก่อนที่จะใช้ปืนยาวสไปเดอร์เล็งยิงที่ดาดฟ้า ของหอคอยนาฬิกา และยิงคนที่อยู่บริเวณมหาลัยเท็กซัส ส่งผลให้มีคนตายทั้งหมด 17 ราย และบาดเจ็บเป็นจำนวนมากก่อนที่ชาร์ล โจเซฟวิตแมนจะถูกหน่วยสวาทบุกจู่โจมและเขาก็ตายจากการปะทะนั้น
************************************************
อันดับ 6 - Dumblane Massacre
นี่คือการบุกโจมตีเด็กที่ร้ายแรงที่สุด
ในประเทศอังกฤษ เมื่อ 13 มีนาคม ปี 1996
เกิดเหตุโศกนาฏกรรมที่เมืองดับลิน ประเทศอังกฤษ
เมื่อนาย Thomas Hamilton ได้ใช้ปืน 4 กระบอก ประกอบด้วยปืนพก 9 mm สองกระบอก และปืนพกลูกโม่ two.357 เข้ามาในโรงเรียนประถม แล้วกราดยิงเด็กนักเรียนที่มางานเปิดยิมเนเซียมของเมือง
มีเด็กนักเรียน 16 คน อาจารน์ประจำชั้น นายกเทศมนตรี Gwenne ของเมืองถูกลูกกระสุนนี้ด้วย หลังการยิง Hamilton ก็ได้ใช้อาวุธในมือยิงตัวตายทันที เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 18 คน หลังเหตุการณ์นี้ได้ส่งผลให้มีการร่างกฎหมายห้ามพกปืนแบบใช้มือเดียวในอังกฤษ
**********************************************************************
อันดับ 5 - Erfurt Massacre
ตาย 17 คน บาดเจ็บ 7 คน
นี้คือคดีคลาสสิคโด่งดังที่สุด
และน่าจะถือเป็นจุดเริ่มต้นแห่งการกลับมาถกเถียงประเด็นเรื่อง
"สื่อ/เกมส์อันตราย" ที่เยอรมัน
เมื่อวันที่ 26 เดือนเมษายน ปี 2002 นายโรเบิร์ต (Robert Steinhäuser) อายุ 19 ปี นักเรียนมัธยม Gutenberg-Gymnasium เมืองแอร์ฟวร์ท (Erfurt) ได้ลากปืนไปยิงครู และเพื่อนนักเรียนอย่างบ้าคลั่ง
เหตุการณ์นั้นจบลงด้วยตัวเลขผู้เสียชีวิตสูงถึง 17 ศพ ประกอบด้วยครู 13 ศพเจ้าหน้าที่ตำรวจ 1 ศพ นักเรียน 2 ศพ และเจ้าตัวผู้ก่อการเองซึ่งได้ฆ่าตัวตายตามไปอีก 1 ศพ เหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้คนเยอรมันช็อคจนต้องสร้างอนุสรณ์ไว้เตือนใจ
จนต้นเดือนเมษายน ปี 2003 ได้มีการนำกฎหมายคุ้มครองเด็กและเยาวชนออกมาแก้ไขเพิ่มเติม และประกาศใช้อย่างรวดเร็ว จุดใหญ่ใจความ คือ กำหนดเพิ่มเติมให้ เกมคอมพิวเตอร์ เป็นสื่อที่ต้องส่งเข้าสู่การพิจารณาเพื่อติดเครื่องหมาย แสดงระดับอายุผู้เล่นที่เหมาะสม (ติดเรท) เหมือนกับสื่อทีวี สื่อภาพยนต์ หรือวีดีโอ ที่ถูกกฎหมายบังคับไปก่อนหน้านี้
*********************************************************************
อันดับ 4 - Ma'alot massacre
เรื่องแย่งชิงดินแดนนั้นไม่เข้าใครออกใคร
เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 1974
ในวันครบรอบอิสรภาพปีที่ 26 ของชาวอิสราเอล
ได้เกิดเหตุมือปืนชาวปาเลสไตน์ (กลุ่ม DFLP, PLO) บุกเข้าไปในโรงเรียนสอนศาสนาของชาวยิว ในเมือง Ma’alot ทางตะวันตกของฉนวนกาซาของอิสราเอลและใช้อาวุธปืนกราดยิงใส่กลุ่มนักเรียน ทำให้มีผู้เสียชีวิตทั้งสิ้น 26 คน และได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย26 คน โรงเรียนแห่งนี้ได้ก่อตั้งขึ้นในปี 1957 และนักเรียนเป็นผู้อพยพชาวยิว ซึ่งส่วนใหญ่มาจากโมร็อคโคและประเทศอาหรับอย่างตูนีเซีย
******************************************************************
อันดับ 3 - Vieginia Tech
ตาย 32 คน บาดเจ็บหลายคน
เมื่อวันที่ 16 เมษายน 2007 เวลา 7 นาฬิกา
มีมือปืนคือนายโช ซึงฮึย ( Cho Seung-Hui)
นักศึกษาวัย23 ปี จากเกาหลีใต้ในมหาวิทยาลัยเวอร์จิเนียร์เทค เมืองแบล็กส์เบิร์ก มลรัฐเวอร์จิเนียรสหรัฐอเมริกา ได้ใช้ปืนกราดยิงหลายนัด ทำให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 32 คน เมื่อรวมทั้งมือปืนด้วยก็เป็น 33 คน และมีผู้ได้รับบาดเจ็บอย่างน้อย 29 ราย
หลังเหตุการณ์นี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจได้สั่งปิดประตูทางเข้าออกทั้งหมด และยกเลิกการเรียนการสอนทั้งหมด ส่วนตัวมือปืนนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจระบุว่า อยู่ในกลุ่มของผู้เสียชีวิตด้วย แต่ยังไม่ทราบแน่ชัดว่า มือปือฆ่าตัวตายเองหรือถูกผู้อื่นฆ่าตาย
สาเหตุของการก่อเหตุสะเทือนขวัญขึ้นมานี้ มีเพียงจดหมายที่พบในห้องพักของโช ที่แสดงให้เห็นถึงการต่อต้านพวกเด็กร่ำรวยและ "ผู้หญิง" มีข้อความที่ว่า "พวกแกทำให้ฉันต้องทำแบบนี้" พร้อมกับนิยายสยองอีก 2 เรื่อง ที่เพื่อน ๆ และอาจารย์อ่านแล้วเหมือนตกอยู่ในฝันร้าย ซึ่งเหตุการณ์ครั้งนี้ทำให้เริ่มเกิดความกังวล และข้อสงสัยต่อความปลอดภัยของมหาวิทยาลัย
****************************************************************
อันดับ 2 - Bath School Disaster
ตาย 45 คน บาดเจ็บ 58 คน
นี้คือเหตุการณ์สังหารหมู่ในสถานศึกษาครั้งรุนแรงที่สุด
ในประวัติศาสตร์ของสหรัฐอเมริกาอย่างแท้จริง
เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 18 พฤษภาคม 1927 เป็นเหตุสะเทือนขวัญรายอรกๆของประเทศ นั่นคือเหตุการณ์ลอบวางระเบิดหลายระลอกในโรงเรียนประถมเมืองบาธ(Bath) รัฐมิชิแกน
การลอบวางระเบิดในวันที่ 18 พฤษภาคม ทำให้มีผู้เสียชีวิตถึง 45 คน บาดเจ็บ 58 คน ผู้ก่อเหตุสะเทือนขวัญคือ แอนดรูว์ เคโฮ (Andrew Kehoe) หนึ่งในกรรมการโรงเรียน ที่ไม่พอใจการเก็บภาษี อสังหาริมทรัพย์ซ้ำซ้อนจากการก่อสร้างอาคารเรียน ซึ่งทำให้เขาประสบกับปัญหาด้านการเงิน จนบ้านไร่ของเขาอาจจะถูกธนาคารยึด ด้วยเหตุนี้เขาจึงวางแผนระเบิดโรงเรียน แถมเขายังสังหารภรรยาของเขาที่บ้านตัวเองด้วย ท้ายที่สุดเคโฮก็เสียชีวิตจากระเบิดที่เขาซุกซ่อนไว้ทั้งในอาคารเรียน และในรถยนต์รวมน้ำหนักกว่า 230 กิโลกรัม
*********************************************
อันดับ1 - Beslan School Hostage Crisisจน์
ตายประมาณ 394 คน (รวมผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์ทั้งหมด)
เริ่มขึ้นเมื่อ 1- 3 กันยายน 2004 เมื่อกลุ่มผู้ก่อการร้ายกบฏเชเชนติดอาวุธประมาณ 30 คน สวมหมวกคลุมหน้าพร้อมปืน. เอเค.47 เครื่องยิงจรวด อาร์พีจี. และเข็มขัดระเบิดพันรอบตัว ใช้รถบรรทุกมีผ้าใบคลุมมิดชิด บุกเข้าจับตัวประกันที่โรงเรียนหมายเลข 1 ในเมืองเบสลันรัฐนอร์ธออสเซเทีย ทางภาคใต้ของรัสเซีย ซึ่งติดกับพรมแดนเชชเนีย
ผู้ก่อการร้ายได้จับตัวประกันเป็นเด็กนักเรียน ครู และผู้ปกครองไว้ประมาณ 1,200 คนนำไปควบคุมตัวไว้ในโรงยิม และทำลายโทรศัพท์มือถือของตัวประกัน เพื่อตัดการติดต่อสื่อสารกับภายนอก วางระเบิดภายในโรงยิมทุกด้าน จำนวน 16-18 ลูก ไว้ตามกรอบหน้าต่างและประตู เพื่อป้องกันตัวประกันหลบหนี และจัดพลซุ่มยิงไปประจำบนหลังคาโรงยิม เพื่อตรวจการณ์ความเคลื่อนไหวของเจ้าหน้าที่รัสเซีย
กลุ่มคนร้ายได้เรียกร้องให้รัสเซียถอนทหารออกจากเชชเนีย และปล่อยตัวผู้ก่อการร้าย 24 คนที่ถูกจับไปในการเข้าโจมตีคลังแสงของสาธารณรัฐอินกูเซเทีย และผู้ก่อการร้ายยังขู่จะระเบิดตัวเอง พร้อมกับอาคารและตัวประกันทั้งหมดทันที หากรัฐบาลรัสเซียส่งทหารเข้าจู่โจมช่วยเหลือตัวประกันทางการรัสเซียพยายามแก้ปัญหาทุกทาง ส่งนายรัสกัน วัลกาตอฟ ผู้นำมุสลิมสูงสุดของรัฐนอร์ทออสเซเทียเข้าไปในโรงเรียน เพื่อหาทางติดต่อเปิดการเจรจากับกลุ่มผู้ก่อการร้าย โดยระหว่างนั้นก็มีเสียงปืนดังอยู่เป็นระยะเหตุการณ์ยืดเยื้อจนถึงวันที่ 3 กย.เมื่อเวลา 13:00น.ได้เกิดเหตุระเบิดขึ้นภายในโรงยิมที่มีการควบคุมตัวประกันโดยไม่ทราบสาเหตุทำให้ตัวประกันวิ่งหนีผู้ก่อการร้ายเปิดฉากยิงตัวประกันทันที เจ้าหน้าที่ยิงโต้ตอบกับคนร้าย ผลคือผู้ก่อการร้ายทั้งหมดเสียชีวิต ตัวประกันเสียชีวิต 394 คนเป็นเด็กประมาณครึ่งหนึ่ง บาดเจ็บหลายราย