สำหรับ "พิ้งกี้-สาวิกา " หนึ่งในนางเอกระดับแถวหน้าของวงการบันเทิงบ้านเรา ที่แม้ว่าจะเจอมรสุมข่าวฉาวอยู่หลายระลอก แต่สุดท้ายเธอก็ผ่านพ้นมาได้ และพิสูจน์ให้ทุกคนเห็นแล้วว่าเรื่องส่วนตัว ไม่ได้ทำให้คุณภาพงานลดลง
ไม่ว่าเธอจะรับงานไหน ทั้งภาพยนตร์ ละคร พรีเซ็นเตอร์โฆษณา หรือถ่ายแบบนิตยสาร สาวพิ้งกี้ก็สามารถทำออกมาได้ดีเสมอ ล่าสุดเธอมีโอกาสร่วมงานกับหม่อมน้อยครั้งแรกในภาพยนตร์ฟอร์มยักษ์ เรื่อง "จันดารา" ที่กำลังจะมีภาคต่อเร็วๆ นี้อีกด้วย งานนี้ถึงแม้จะไม่มีฉากเลิฟซีนหวือหวาเหมือนนักแสดงคนอื่นๆ แต่รับรองว่าฝีมือการแสดงของเธอต้องไม่ทำให้เราผิดหวังแน่นอน นอกจากนี้เธอยังมีละครดราม่า "กากับหงส์" ให้เราได้ติดตามกันอีกหนึ่งเรื่องทางช่อง 8 แต่ก่อนจะไปดูละครในจอ เราไปดูแฟชั่นสวยๆ ในเล่ม พร้อมอัพเดทผลงาน และชีวิตส่วนตัวของเธอเป็นการส่งท้ายปีกันก่อนดีกว่าค่ะ
ขอบคุณโอกาสที่มาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลง
"ช่วงที่กี้ไม่มีผลงานในบ้านเรา จริงๆ แล้วก็ไม่ได้หายไปไหน เพราะกี้ได้มีโอกาสเดินทางไปถ่ายทำหนังที่อินเดีย ถือเป็นประสบการณ์ที่ดีมาก เพราะได้เรียนรู้การทำงานของหนังบอลลี วู้ดด้วย หลังจากนั้นกี้ก็กลับมาเมืองไทย มาร่วมงานกับช่อง 8 ของค่ายอาร์เอส ช่อง 8 เป็นเหมือนบ้านหลังหนึ่งที่ให้โอกาสกี้ได้กลับมาเล่นละคร และแสดงความสามารถอีกครั้ง ซึ่งเราเองก็มีความสุขที่ได้อยู่ในบ้านหลังนี้ เริ่มตั้งแต่ละครเรื่องแรก ทองประกายแสด ราชินีลูกทุ่ง และล่าสุดเรื่อง กากับหงส์ เป็นละครดราม่า เล่นกับกิ๊บซี่ บีม-กวี และแบงค์ (แบล็ควานิลลา) ในเรื่องมีบทบู๊ด้วย เพราะกี้ต้องชกมวย เป็นเรื่องราวของเด็กผู้หญิงสอง คนที่ถูกสลับตัวกัน ในพาร์ทของกี้ต้องไปอยู่ในสลัม ต้องโดนกลั่นแกล้งสารพัด ถือว่าดราม่าหนักเหมือนกัน การเข้ามาทำงานในช่อง 8 ทำให้กี้ได้เปลี่ยนคาแรคเตอร์ และมีโอกาสพัฒนาฝีมือการแสดงเยอะขึ้น ความเปลี่ยนแปลงครั้งนี้จึงไม่ใช่สิ่งเลวร้าย แต่เป็นเหมือนบันไดอีกหนึ่งขั้นที่ทำให้เราเรียนรู้ บางคนอาจจะรู้สึกว่าช่อง 8 เป็นแค่ช่องเคเบิ้ล นักแสดงคนไหนที่ได้มาอยู่ช่องแบบนี้คือนักแสดงที่ไม่ดังแล้ว แต่กี้ไม่ได้คิดแบบนั้น เหมือนเป็นการดูถูกตัวเองเกินไป จริงๆ แล้วไม่ว่าเราจะเป็นนักแสดงช่องไหน หรือสังกัดค่ายใด เราก็สามารถเป็นนักแสดงที่ดีได้ ที่สำคัญเดี๋ยวนี้คนดูเริ่มเปิดกว้างและยอมรับมากขึ้น ทางช่องเองก็เริ่มมีแฟนๆ เพิ่มขึ้น ทำให้เรามีกำลังใจในการทำงานต่อไปค่ะ"
แม้มีประสบการณ์ แต่ยังไม่หยุดพัฒนา
"กี้มีหลักในการทำงาน คือ ไม่ว่าจะทำอะไร กี้จะทำให้เต็มที่ ทำทุกอย่างให้ดีในทุกๆ วัน พยายามคิดว่าวันนี้เป็นวันสุดท้ายของเรา เพื่อเราจะได้ไม่มานั่งเสียดาย หรือเสียใจทีหลัง กี้มักจะบอกตัวเองเสมอว่า การเป็นนักแสดงที่ดี อย่าคิดว่าเราดีแล้ว เก่งแล้ว เพราะถ้าคิดแบบนี้เราจะหยุดพัฒนาตัวเอง เราจะไม่เติบโต กี้เชื่อว่านักแสดงทุกคนมีมาตรฐานไม่เท่ากัน แต่ถ้าเราวางมาตรฐานของตัวเองไว้ต่ำ คิดว่าเราแสดงได้แค่นี้ เราก็จะอยู่แค่นี้ อย่างกี้เองถึงแม้จะเข้าวงการมาตั้งแต่เด็กๆ ได้ผ่านงานมาหลายรูปแบบ เหมือนมีประสบการณ์เยอะ แต่จริงๆ กี้ยังไม่รู้อะไรอีกเยอะ เพิ่งมารู้ว่าการตีบทให้แตก และเทคนิคในการเข้าถึงบทให้มากที่สุดไม่ได้มีแค่หนึ่ง หรือสองวิธี การมีอินเนอร์ในตัวเองเป็นสิ่งที่ดี แต่ต้องไม่นำกลับมาใช้กับตัวเองตอนอยู่ที่บ้าน ฉะนั้นเราจึงต้องเรียนรู้และพัฒนาตัวเองไปเรื่อยๆ การแสดง เป็นศาสตร์ที่ให้ความรู้ที่ไม่สิ้นสุดจริงๆ ค่ะ"
ไม่ใช่ลูกแหง่ แค่ให้ความสำคัญกับครอบครัว
"แม่เป็นทุกอย่างของกี้ มีคนเคยบอกว่าเราขาดแม่ไม่ได้หรอก ซึ่งก็เป็นเรื่องจริง เพราะตั้งแต่เด็กๆ เราเติบโตมากับคุณแม่ ท่านเป็นเหมือนร่มโพธิ์ร่มไทรของเรา แต่กี้ไม่ได้เป็นลูกแหง่นะ เราแค่อยากให้ความสำคัญกับครอบครัว และใช้เวลาอยู่กับท่านให้มากที่สุด เพื่อวันหนึ่งเราจะได้ไม่มานั่งเสียใจทีหลัง ไม่โทษตัวเองว่าเราไม่มีเวลาดูแลท่าน ซึ่งไม่ใช่แค่เราเท่านั้นที่ดูแล แต่แม่ก็เป็นคนที่ดูแลกี้ทุกอย่างเหมือนกัน เวลาเรามีปัญหาแม่ก็จะมาช่วยคิด ช่วยเตือนสติเราทุกครั้ง มีหลายอย่างมากที่แม่สอนกี้ บางครั้งท่านไปเจอหนังสือดีๆ ก็มาอ่านให้เราฟัง เราก็จะจำ และคิดตามตลอด แต่เราก็จะเรียนรู้เองว่าสิ่งไหนควรจำ หรือไม่ควรจำ แม่มักจะบอกเสมอว่าถ้าเราไม่ชอบ หรือเกลียดสิ่งไหน เราก็อย่าทำสิ่งนั้นกับคนอื่นค่ะ"
เปรียบชีวิตเหมือนขึ้นลงภูเขา มีล้มบ้าง ลุกบ้าง
"ทุกคนสามารถล้มได้ แต่ก็สามารถลุกขึ้นมาได้เหมือนกัน ถ้าเปรียบชีวิตของตัวเองก็คงเหมือนกับการขึ้นลงภูเขาหลายๆ ลูก อาจมีมีล้ม มีลุกบ้าง แต่เราก็ไม่ยอมแพ้ที่จะปีนป่ายต่อไป ทุกเรื่องราวที่เข้ามาในชีวิต หรือหลายๆ ข่าวที่ออกมา เราไม่สามารถไปห้ามความคิดของคนอื่นได้ ไม่มีสิทธิ์ไปว่าคนเสพข่าวที่เค้าจะเชื่อแบบนั้น อยู่ในวงการนี้ก็ต้องทำใจ เพราะดาราต้องคู่กับข่าวอยู่แล้ว วันนี้มีข่าวนี้ออกมา พรุ่งนี้ก็มีข่าวใหม่แล้ว กี้รู้สึกว่าเวลามีข่าว 1 ข่าว ก็ทำให้เราโตขึ้นอีก 1 ขั้น กี้เรียนรู้อย่างหนึ่งว่าเวลาเราเจออะไรที่เจ็บปวด หรือรู้สึกแย่มากๆ ไม่มีใครที่จะรักษาความเจ็บนั้นได้ นอกจากตัวเราเอง เวลาเสียใจอาจร้องไห้กับแม่ แต่สุดท้ายแล้วเราก็ต้องเรียนรู้ และลุกขึ้นสู้ด้วยตัวเอง กี้ไม่คิดจะเดินถอยหลัง หรือย้อนกลับไปแก้ไขอะไรอีก ตอนนี้ไม่ได้โฟกัสกับเรื่องเหล่านี้แล้ว ชีวิตยังมีอะไรให้คิดอีกเยอะ เราก็ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีต่อไป ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกี้คิดว่าคงเป็นกรรมของเรา ตอนนี้ก็ต้องชดใช้กรรมของเราไป ทุกวันนี้เราก็ใช้วิธีแผ่เมตตา ใครที่คิดไม่ดีกับเรา สิ่งไม่ดีเหล่านั้นก็สะท้อนกลับไปหาตัวเค้าเอง เราเองก็ไม่ใช่คนดี หรือเพอร์เฟ็กต์ทุกอย่าง แต่เราก็ไม่คิดจะไปทำร้ายใคร สิ่งไหนที่ให้อภัยต่อกันได้ ก็ควรให้อภัยค่ะ"
ยังไม่มีโปรเจค แต่อยากเป็นนักแปลภาษา
"ตอนนี้ยังไม่มีธุรกิจอะไรเลย นอกจากการเป็นนักแสดง เพราะกี้รู้สึกว่าเป็นงานที่เหมือนอาชีพเราไปแล้ว เราได้อะไรหลายๆ อย่างจากอาชีพนี้ กี้ไม่รู้สึกเบื่อเลยนะที่อยู่อย่างนี้ แต่ก็คิดว่าสักวันหนึ่งคงมีจุดอิ่มตัว สิ่งหนึ่งที่ทำให้กี้ออกจากวงการนี้ไปเลย ก็คือ การมีครอบครัว เพราะเราอยากให้เวลากับครอบครัวเต็มที่ ถึงตอนนั้นกี้ก็คงทำอย่างอื่นไปด้วย กี้อยากเรียนภาษาเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นภาษาอังกฤษ หรือภาษาอื่นๆ เพราะเป็นคนที่ชอบเรียนภาษามาตั้งแต่เด็กๆ แล้ว และมีความคิดว่าถ้าวันหนึ่งไม่ได้ทำงานในวงการบันเทิง กี้อยากทำงานเกี่ยวกับการแปลภาษาค่ะ"
เชื่อในพรหมลิขิต แต่ไม่คิดเร่งรีบ
"ตอนนี้ยังไม่มีคนพิเศษ ทุกวันนี้ก็ทำงานตลอด แทบไม่มีเวลาเจอ หรือได้คุยกับใครเลย กี้คิดว่าถ้าถึงเวลาก็คงมีเอง กี้เชื่อในพรหมลิขิตนะ แต่ก็ไม่เร่งรีบ ปล่อยให้เป็นเรื่องธรรมชาติดีกว่า กี้คิดว่าอายุเราแค่นี้ ยังเป็นวัยที่ความรักสามารถเข้ามาเรื่อยๆ จึงไม่ได้คาดหวังกับเรื่องนี้เท่าไหร่ ถ้าไม่มีก็ไม่เป็นไร อยู่กับแม่ หรืออยู่คนเดียวก็มีความสุขได้เหมือนกัน ส่วนสเปกของกี้ก็ไม่มีอะไรพิเศษเลย ขอแค่เข้าใจในงานและยอมรับในสิ่งที่เราเป็นก็โอเคแล้ว กี้มองว่าความรักเป็นสิ่งสวยงาม แต่ตอนนี้ความคิดอาจจะเปลี่ยนไปบ้างตามช่วงอายุ เมื่อก่อนแค่รักกันอย่างเดียวก็มีความสุขแล้ว แต่พอโตขึ้นรู้สึกว่าต้องมีอะไรมากกว่านั้น แค่รักกันอย่างเดียวไม่พอ สิ่งสำคัญกว่านั้น คือ ความเข้าใจ ถ้าเรามีความเข้าใจให้กัน สิ่งดีๆ ก็จะตามมาเองค่ะ (ยิ้ม)"
ดูแลตัวเองให้เฟรชอยู่เสมอ ทั้งเรื่องรูปร่างและสุขภาพ
"กี้เป็นคนดูแลตัวเองพอสมควร ทั้งเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกาย และสุขภาพ กี้เป็นคนทานเก่ง แต่รู้จักควบคุมปริมาณ และงดของมัน ของทอด ส่วนของหวานก็อาจจะทานบ้างบางมื้อ ปกติกี้ไม่ค่อยอ้วนเพราะเรื่องอาหาร แต่ตอนไปถ่ายงานที่อินเดีย น้ำหนักเพิ่มขึ้นหลายกิโลเลย เพราะอาหารที่นั่นมีแต่แป้งกับไขมัน และเค้าจะทานมื้อเย็นกันตอน 3 ทุ่ม ตอนนั้นรู้สึกว่าตัวเองอ้วนและหน้าบวมมาก เครียดเหมือนกัน เพราะไม่รู้จะฟิตหุ่นยังไง หรือต้องควบคุมอาหารมากแค่ไหน กลับมาไทยกี้จึงได้ปรึกษากับคุณหมอวิวรรณ ที่ช่วยดูแลในเรื่องสุขภาพและรูปร่าง คุณหมอแนะนำให้ทานอาหารเสริมสูตรลิขสิทธิ์จากอเมริกา เป็นการควบคุมน้ำหนักและรูปร่างแนวใหม่ ที่ให้คำนิยามว่าลดน้ำหนักแบบผ่อนคลาย เพราะทานแล้วจะช่วยปรับสมดุลสารเครียด ทำให้ไม่อยากทานจุบจิบ ทานแล้วหน้ากลับมาเรียว น้ำหนักลดลง ที่สำคัญไม่เพลียด้วย แฮปปี้สุดๆ รู้สึกมั่นใจในรูปร่างมากขึ้น ส่วนการดูแลสุขภาพอื่นๆ ถ้าวันไหนเลิกกองเร็ว กี้ก็ไปออกกำลังกาย ช่วงนี้ชอบเล่นโยคะพิทาลิส เพราะช่วยเรื่องบุคลิกภาพ และฝึกสมาธิด้วย ส่วนเรื่องความสวยความงาม กี้ก็ให้ความสำคัญเหมือนกัน โดยเฉพาะเรื่องผม และผิวหน้า กี้จะทำทรีทเม้นท์ผมบ่อยมาก ไม่ปล่อยให้ผมมัน ชี้ ฟูเด็ดขาด ส่วนผิวหน้า กี้จะล้างหน้าด้วยน้ำเย็นทุกครั้ง เพื่อให้รูขุมขนเปิดและทำความสะอาดเครื่องสำอางได้ง่ายขึ้น เราต้องทำให้ตัวเองเฟรชอยู่เสมอ อย่าขี้เกียจที่จะดูแลตัวเองนะคะ (ยิ้ม)"