นักวิชาการชาวนอร์เวย์ตีพิมพ์บทความเสนอให้สายการบินทั่วโลกเก็บค่าเครื่องบินตามน้ำหนัก เรียกว่ายิ่งคุณอ้วนมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งต้องจ่ายค่าตั๋วเครื่องบินแพงขึ้นเท่านั้น เพื่อให้สอดคล้องกับต้นทุนการขนส่งทางอากาศ ที่มีน้ำหนักเป็นตัวกำหนดต้นทุนที่สำคัญที่สุด

นักวิจัยคนนี้ชื่อว่าดอกเตอร์พาระต พัตตะ เขามีตัวเลขยืนยันอย่างเป็นทางการว่าหากเครื่องบิน 1 ลำ ลดน้ำหนักบรรทุกเพียง 1 กิโลกรัมเป็นเวลา 1 ปี จะประหยัดต้นทุนค่าเชื้อเพลิงลงได้ถึง 3,000 ดอลลาร์ หรือ 90,000 บาทเลยทีเดียว

แต่ที่เขาออกมาเรียกร้องให้สายการบินทั่วโลกเก็บเงินค่าโดยสารคนอ้วนตามน้ำหนัก ไม่ใช่เพื่อให้สายการบินประหยัดต้นทุนเพียงอย่างเดียว แต่เหตุผลที่สำคัญยิ่งกว่าก็คือ ยิ่งเครื่องบินบรรทุกน้อยลงเท่าไหร่ ก็จะยิ่งปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์สู่อากาศน้อยลงเท่านั้น ทำให้การควบคุมน้ำหนักเครื่องบิน จะส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อภาวะโลกร้อนและมลภาวะในอากาศ ซึ่งกำลังเป็นปัญหาใหญ่ในโลกปัจจุบัน

ดร.พัตตะ ยังบอกอีกด้วยว่าถึงแม้ว่าการเก็บเงินคนอ้วนแพงกว่าคนผอมเวลาขึ้นเครื่องบินจะดูเป็นเรื่องใจร้ายไปสักหน่อย แต่ถ้าคิดให้ดีแล้ว การเก็บค่าธรรมเนียมการขนส่งตามน้ำหนักเป็นหลักการทั่วไปของการขนส่งทั่วโลก โดยเฉพาะทางอากาศ ซึ่งมีต้นทุนสูงกว่าการขนส่งทางบกหรือทางเรือหลายเท่า และก็มีสายการบินหลายแห่งทั่วโลกที่ลดน้ำหนักของเครื่องบินเพื่อลดต้นทุน เช่นแอร์แคนาดา ที่เอาเสื้อชูชีพออกจากเครื่องบินเพื่อให้แต่ละไฟลท์น้ำหนักเบาลง 25 กิโลกรัม หรือสายการบินต้นทุนต่ำหลายแห่งที่คิดค่าบริการเพิ่มสำหรับสัมภาระที่น้ำหนักเกิน และให้ผู้โดยสารที่อ้วนมากซื้อตั๋ว 2 ที่นั่ง

สำหรับโมเดลของการเก็บค่าตั๋วเครื่องบินตามน้ำหนัก มี 2 รูปแบบหลักๆ ก็คือการคำนวณค่าโดยสารแบบตามน้ำหนักเป็นกิโลกรัม ไม่ว่าจะเป็นน้ำหนักสัมภาระหรือผู้โดยสาร กับการมีราคากลาง และให้ส่วนลดกับผู้โดยสารที่น้ำหนักต่ำกว่าเกณฑ์ รวมถึงคิดค่าบริการเพิ่มสำหรับผู้โดยสารที่น้ำหนักเกินมาตรฐาน ซึ่งในทางปฏิบัติอาจจะค่อนข้างยุ่งยาก เพราะพนักงานทุกคนอาจจะต้องมานั่งชั่งน้ำหนักผู้โดยสารก่อนการเช็กอิน เพื่อตรวจสอบว่าน้ำหนักที่บอกตอนซื้อตั๋วตรงกับความเป็นจริง