นักวิทยาศาสตร์ไขปริศนาท่วงท่าร่วมรักของไดโนเสาร์ แบบจำลองคอมพิวเตอร์เผยสัตว์โลกล้านปีมี 4 สไตล์ผสมพันธุ์
ไบรอัน สวีทเท็ก ผู้เขียนหนังสือชื่อ "My Beloved Brontosaurus" ซึ่งกำลังจะออกในเดือนพฤษภาคม ได้พยายามตอบข้อสงสัยที่มีมานาน ว่า พวกไดโนเสาร์ที่มีหนามแหลมแข็งบนหลัง ผสมพันธุ์กันได้อย่างไร ตัวผู้จึงจะไม่ถูกหนามตำ
@ ทฤษฎีหลักบอกว่า ไดโนเสาร์ผสมพันธุ์ด้วยท่าคร่อมหลัง
นักบรรพชีพวิทยาเชื่อกันว่า ไดโนเสาร์ตัวผู้ทุกชนิด ใช้วิธีขึ้นคร่อมหลังตัวเมีย แต่เขาแย้งว่า ไม่น่าจะใช่
อย่างน้อย สเตโกซอรัส ซึ่งมีหนามแหลมแข็งบนท่อนหาง คงไม่ได้ใช้ท่านี้ เพราะตัวเมียไม่สามารถยกหางชูขึ้นได้ เนื่องจากกระดูกโคนหางเชื่อมติดกับโครงกระดูกลำตัว แถมตัวผู้ก็มีน้ำหนักตัวถึง 25 ตัน
แล้วไดโนเสาร์บางชนิดก็มีหนามแหลมบนแนวสันหลัง ตัวผู้คงประกบหลังตัวเมียไม่ได้ เพราะติดหนามยาวๆเหล่านั้น
ไฮน์ริช มอลลิสัน แห่งพิพิทธภัณฑ์ธรรมชาติวิทยาในเบอร์ลิน ได้เขียนโปรแกรมคอมพิวเตอร์ สร้างแบบจำลองแสดงอากัปกิริยาในการผสมพันธุ์ของไดโนเสาร์ชนิดต่างๆ
@ มอลลิสันเสนอทฤษฎีใหม่ อธิบาย 4 ท่าเมคเลิฟของไดโนเสาร์ชนิดต่างๆ
เขาพบว่า "ไดโนสูตร" มีด้วยกัน 4 ท่วงท่า
ท่าแรก ขึ้นคร่อมทางด้านหลัง แบบเดียวกับที่สัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมส่วนใหญ่ทำกันในยุคปัจจุบัน ท่านี้เหมาะสำหรับพวกไดโนเสาร์ขนาดย่อม และไม่มีหนามแหลมบนหลัง เช่น เวโลซีแรพเตอร์
ท่าที่สอง นอนตะแคงหันข้าง เหมาะสำหรับพวกที่มีหนามบนท่อนหาง เช่น สเตโกซอรัส
ท่าที่สาม หันหลังชนกัน เหมาะสำหรับพวกมีลำคอยาว ตัวผู้สามารถเอี้ยวคอกลับไปมองเล็งเป้าได้ เช่น เคนโทรซอรัส
ท่าสุดท้าย ตัวเมียนอนหงายในท่ามิชชั่นนารี เช่น ไทรันโนซอรัส เร็กซ์
อย่างไรก็ดี ผู้เชี่ยวชาญบางคนไม่เห็นด้วยกับทฤษฎีนี้ แต่เชื่อว่า ไดโนเสาร์ทุกชนิดใช้ท่าขี่หลังทั้งนั้น ความลับก็คือ ตัวผู้ได้มีวิวัฒนาการจนมีอวัยวะสืบพันธุ์ยาวมาก
ศาสตราจารย์ จอห์น ลอง แห่งมหาวิทยาลัยฟินเดอร์ ในรัฐเซาท์ออสเตรเลีย บอกว่า ไดโนเสาร์บางชนิดที่มีทั้งหนามแหลม และผิวหนังคล้ายเกราะหุ้มลำตัว เช่น แองกีโลซอรัส นั้น ตัวผู้อาจมีอวัยวะยาวถึง 6 ฟุตครึ่ง เพื่อให้เข้าถึงตัวของเพศตรงข้ามได้ โดยไม่ถูกหนามตำ
วิธีเดียวที่จะพิสูจน์ได้ว่า ทฤษฎีของใครถูกต้อง คือ ต้องเจอฟอสซิลของอวัยวะเพศของตัวผู้เป็นหลักฐานยืนยัน แต่ปัญหาก็คือ เนื้อเยื่ออ่อนมักเน่าเปื่อยไปหมด
นักบรรพชีพวิทยาจึงยังคงถกเถียงกันต่อไป ว่า กามสูตรของไดโนเสาร์ เป็นอย่างไรกันแน่.