ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ (Health Plus)
ผู้ใหญ่โดยทั่วไปต้องการเวลา 7-8 ชั่วโมง สำหรับการนอนหลับสนิท ในปัจจุบันยังไม่มีวิธีอื่นใดที่จะสามารถทดแทนวิธีการนอนหลับสนิทได้ เพราะชีวเคมีในร่างกายของเราต้องการการนอนหลับอย่างเต็มที่ และการนอนหลับโดยปราศจากการรบกวนเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อการฟื้นฟูที่มีประสิทธิภาพสูงสุด
แต่สังคมสมัยใหม่ทำให้ช่วยเวลาในการปฏิบัติการกิจยาวแต่ละวันยาวนานขึ้น และเปลี่ยนระบบเวลากลางวัน-กลางคืนของร่างกายเรา
นอกจากนี้ร่างกายยังต้องรับแรงกดดันที่จะต้องมีการเรียนรู้ การเข้าสังคม การออกกำลังกายที่ การเรียนรู้ประสบการณ์ใหม่ๆ เพิ่มมากขึ้นการดูหนังทีวีซีรีส์เรื่องล่าสุดและการทำกิจกรรมอื่นๆ ภายในช่วงเวลา 24 ชั่วโมง ซึ่งกิจกรรมเหล่านี้ทำให้เวลาในการนอนของเราลดลง
อาการผิดปกติของการนอนไม่หลับ
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับจากการอุดกั้น เป็นความผิดปกติที่เกิดจากการตีบแคบของทางเดินหายใจ (หลังลิ้น) ระหว่างหลับ ทำให้เป็นอุปสรรคต่อการหายใจ ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการการกรน ภาวะหายใจลำบาก หายใจเฮือกและสำลักกรน การตีบตันของทางเดินหายใจ ทำให้ต้องใช้แรงหายใจมากขึ้น นำไปสู่การหายใจที่ไม่สม่ำเสมอ และทำให้ผู้ป่วยไม่ได้พักผ่อนระหว่างการนอนในช่วงเวลากลางคืน
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับยังเป็นสาเหตุของการปวดศีรษะ สมาธิสั้น การสูญเสียความทรงจำ การใช้วิจารณญาณที่ผิดพลาด และการเซื่องซึมหรือง่วงนอน ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับสามารถทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง เบาหวาน หัวใจวาย และโรคหลอดเลือดในสมอง หากไม่ได้รับการบำบัดรักษา
ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับมีอาการหยุดหายใจซ้ำๆ ระหว่างการนอนหลับ เนื่องจากทางเดินหายใจด้านบนถูกอุดกั้น การตีบตันของทางเดินหายใจอาจจะเกิดขึ้นได้จากหลายสาเหตุ อาทิ ลิ้นที่มีขนาดใหญ่ เนื้อเยื่อพิเศษหรือความตึงตัวของกล้ามเนื้อที่คล้อยลงไปอุดกั้นการเปิดของทางเดินหายใจ
การหยุดหายใจในแต่ละครั้งอาจมีช่วงระยะเวลาตั้งแต่ 2-3 วินาที จนถึงหลายๆ นาทีและอาจจะเกิดขึ้น 5 ถึง 30 ครั้งหรือมากกว่าในแต่ละชั่วโมง การหยุดหายใจนี้จะทำให้หัวใจทำงานหนัก และนำไปสู่โรคแทรกซ้อนที่ร้ายแรงหลายโรค (ข้อมูลจากกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ของอเมริกา (NIH), 2009)
อาการ
กรนเสียงดังและมีลักษณะติดขัด
หายใจเฮือกหรือสำลักกรนระหว่างนอน
นอนหลับในช่วงกลางวันมากเกินไป
อาการอย่างอื่นของภาวการณ์หยุดหายใจ ขณะนอนหลับอาจรวมถึง
ปวดศีรษะในตอนเช้า
ปัญหาเรื่องความจำหรือการเรียนรู้
รู้สึกหงุดหงิด
ไม่สามารถมีสมาธิในการทำงานได้
อารมณ์แปรปรวนหรือมีการเปลี่ยนแปลงของบุคลิกภาพ บางทีรู้สึกซึมเศร้า
คอแห้งขณะตื่น
ปวดปัสสาวะบ่อยในเวลากลางคืน
ถ้าปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับอาจความเสี่ยงทำให้เกิดโรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดในสมอง โรคอ้วน และโรคเบาหวาน นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจล้มเหลวหรือทำให้อาการแย่ลง จังหวะการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอ และมีโอกาสที่จะประสบอุบัติเหตุในที่ทำงานหรือจากการขับขี่มากขึ้น (ข้อมูลจากกระทรวงสุขภาพและบริการมนุษย์ของอเมริกา (NIH), 2009)
ผลกระทบ
มีการประเมินว่า ชาวอเมริกันได้รับผลกระทบจากภาวะการนอนหลับผิดปกติ อาทิ การทำงานอย่างไม่มีประสิทธิผล สูญเสียค่ารักษาพยาบาล การลาป่วย และส่งผลกระทบถึงความเสียหายต่อสิ่งแวดล้อมและทรัพย์สิน มีมูลคำว่า 100,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ในแต่ละปี
ในภาวการณ์นอนหลับผิดปกติ สถานการณ์การเกิดภาวะออกซิเจนลดลงเป็นพักๆ และในขณะเดียวกันร่างกายไม่ได้มีการนอนหลับพักผ่อนอย่างเพียงพอ ทำให้เกิดการหลั่งของฮอร์โมนความเครียด ฮอร์โมนนี้ทำให้ความดันโลหิตและอัตราการเต้นของหัวใจสูงขึ้น และมีความเสี่ยงของการเป็นโรคหัวใจวาย โรคหลอดเลือดในสมอง อัตราการเต้นของหัวใจไม่สม่ำเสมอรวมถึงภาวะหัวใจล้มเหลว
ภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับที่ไม่ได้รับการรักษาทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงของกระบวนการเผาผลาญอาหาร (Metabolism) เพิ่มความเสี่ยงของการเป็นโรคอ้วนและเบาหวาน
การลดลงของระดับออกซิเจนในเลือดแม้เพียงในช่วงเวลาสั้นๆ เป็นสาเหตุทำให้เกิดการปวดศีรษะในตอนเช้า และมีสมาธิในการทำงานสั้นลง และยังส่งผลถึงการไม่สามารถใช้วิจารณญาณอย่างเหมาะสม ความสามารถในการเรียนรู้และความจำลดลง
การง่วงนอนนำไปสู่ปัญหาด้านอารมณ์และพฤติกรรม รวมทั้งโรคซึมเศร้า และผู้ที่เป็นโรคนี้จะง่วงนอนมากกว่าคนปกติ 3 เท่า ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุบนท้องถนนหรือที่ทำงานมากขึ้น
สำนักงานความปลอดภัยบนทางหลวงแห่งชาติ (The National Highway traffic Safety Administration) ประเมินว่า การเกิดอุบัติเหตุรถยนต์ชนกันประมาณ 100,000 รายในแต่ละปี โดยจากการรายงานของตำรวจอุบัติเหตุเกิดขึ้นเกิดผู้ขับขี่ที่ง่วงนอน ทำให้มีผู้เสียชีวิตกว่า 1,500 รายและผู้บาดเจ็บอีกกว่า 71,000 ราย
ใครคือผู้ที่มีความเสี่ยง
ทุกคนมีความเสี่ยงที่จะประสบกับภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ การหยุดหายใจจากภาวะทางเดินหายใจถูกอุดกั้นขณะนอนหลับสามารถเกิดได้ทั้งในเพศชาย เพศหญิง และเด็กในทุกๆ วัย
ผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ โดยทั่วไปไม่ได้ตระหนักว่าเกิดการหยุดหายใจในช่วงเวลากลางคืน
มีการประเมินว่าผู้ใหญ่ชาวอเมริกันกว่า 12 ล้านคนมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับทำให้โรคดังกล่าวกลายเป็นโรคที่เป็นกันทั่วไป เช่นเดียวกับโรคหอบหืด
กว่าครึ่งหนึ่งของผู้ที่มีภาวะหยุดหายใจ ขณะนอนหลับมีน้ำหนักมากเกินไป
พบมากในเพศชาย
กว่า 1 ใน 25 ชายวัยกลางคนและ 1 ใน 50 หญิงวัยกลางคนมีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
ประมาณ 3 เปอร์เซ็นต์ของเด็กและ 10 เปอร์เซ็นต์หรือมากกว่าของผู้ใหญ่ที่มีอายุเกิน 65 ปี มีภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับ
พบภาวะหยุดหายใจขณะนอนหลับได้อย่างแพร่หลายในชาวแอฟริกัน อเมริกัน เอเชีย คนพื้นเมืองอเมริกันและชาว ฮิสพานิก (Hispanics) กว่าชาวผิวขาว (คอเคเซียน)
การวินิจฉัยโรค
พูดคุยปัญหาการนอนและอาการกับแพทย์ ถ้าแพทย์สงสัยว่าคุณมีความผิดปกติด้านการนอน แพทย์จะแนะนำคุณให้ไปพบผู้เชี่ยวชาญด้านการนอนเพื่อตรวจวินิจฉัย
การศึกษาด้านการวินิจฉัยโรคการนอนในช่วงเวลากลางคืนหรือที่เรียกว่า โพลีโซมโนแกรม (polysomnogram) หรือ (PSG) ถูกนำมาใช้ในการกำหนดชนิดและความรุนแรงของความผิดปกติของการนอนและการรักษาที่เหมาะสมจากผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่าเกิดการหยุดหายใจ การละดุ้งตื่นบ่อยครั้งระหว่างหลับและระดับออกซิเจนในเลือดมีการลดลง
การบำบัดรักษา
การรักษาด้วยเครื่องช่วยหายใจชนิดแรงดันบวกต่อเนื่อง Continuous Positive Airway Pressure (CPAP) เป็นวิธีการบำบัดรักษาด้วยแรงดันบวกทางเดินหายใจ (PAP) ที่ใช้กันอย่างแพร่หลายมากที่สุด และเป็นอีกหนึ่งวิธีในการรักษาการหยุดหายใจจากภาวะทางเดินหายใจถูกอุดกั้นขณะนอนหลับ (OSA)
การรักษาทำโดยการปล่อยแรงดันอากาศแบบเบาเข้าจมูกผ่านหน้ากาก
แรงดันอากาศป้องกันการตีบตันของทางเดินหายใจ ทำให้หายใจได้อย่างอิสระระหว่างการนอน
การรักษาแบบไม่ต้องต่อท่อกับเครื่องช่วยหายใจ (Noninvasive therapy) สามารถบรรเทาอาการภาวการณ์หยุดหายใจขณะนอนหลับจากการอุดกั้นเมื่อใช้ตามคำสั่งแพทย์
วิธีการบำบัดรักษาอื่นๆ รวมถึง
การผ่าตัด
การเปลี่ยนแปลงไลฟ์สไตล์/พฤติกรรม
ข้อดีดีของการรักษาเป็นประจำ
ลดผลกระทบของการหยุดหายใจจากภาวะทางเดินหายใจถูกอุดกั้นขณะนอนหลับ
การใช้การบำบัดรักษาด้วยแรงดันบวกทางเดินหายใจ (PAP) ในช่วงเวลากลางคืนเป็นประจำ มีข้อดี
พลังงานและความสนใจระหว่างวันเพิ่มขึ้น
ความดันโลหิตลดลง
ความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดในสมอและหัวใจวายลดลง
มีประสิทธิภาพในการทำงานทั้งที่บ้านและที่ทำงานเพิ่มขึ้น
คุณภาพชีวิตโดยรวมดีขึ้น