เรียบเรียงข้อมูลโดยกระปุกดอทคอม
ภาพประกอบโดย JUSTIN SULLIVAN / GETTY IMAGES NORTH AMERICA / AFP , ROBYN BECK / AFP , FILES ACME / AFP
เชื่อว่าหลาย ๆ คนเคยได้ยินเรื่องราวตำนาน "คุกอัลคาทราซ" ซึ่งขึ้นชื่อว่าเป็นคุกโหดที่สุดแห่งหนึ่งในโลก ที่ไม่มีใครสามารถที่จะหลบหนีออกมาได้โดยง่าย และมีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่ต้องสังเวยชีวิต ณ ทัณฑสถานแห่งนี้ โดยในวันนี้กระปุกดอทคอมก็มีเรื่องราวที่น่าสนใจของ คุกอัลคาทราซ มาฝากเพื่อน ๆ กันค่ะ
สำหรับเกาะอัลคาทราซ เป็นเกาะเล็ก ๆ ที่ตั้งอยู่กลางอ่าวซานฟรานซิสโก ในแคลิฟอร์เนีย ประเทศสหรัฐอเมริกา ถูกค้นพบครั้งแรกในปี ค.ศ. 1775 (พ.ศ. 2318) โดยฆวน มานูเอล เด อยาลา อี อรันซา นักเดินเรือชื่อดังชาวสเปน และได้ตั้งชื่อเกาะอันโดดเดี่ยวแห่งนี้ว่า"ลา อิสลา เด โลส อัลกาตราเซส" ในภาษาสเปน อันหมายถึงเกาะที่เต็มไปด้วยนกทะเล เนื่องจากไม่ปรากฏว่ามีสิ่งมีชีวิตอื่นใดที่จะสามารถเข้าและออกจากเกาะแห่งนี้ได้นอกจากนกทะเลเท่านั้น จนกระทั่งเมื่อชาวอังกฤษเดินทางเข้ามาในบริเวณดังกล่าวก็ได้เรียกขานเกาะอัลกาตราเซสแห่งนี้ว่า "อัลคาทราซ" ตามสำเนียงภาษาตัวเอง
เดิมทีเกาะแห่งนี้ถูกใช้สำหรับเป็นที่ตั้งประภาคารของพวกนักเดินเรือ แต่ด้วยความโดดเดี่ยวห่างไกลของเกาะแห่งนี้ บวกกับคลื่นลมที่ปั่นป่วนรุนแรงในอ่าวซานฟรานซิสโกตลอดทั้งปี ทำให้เกาะแห่งนี้ได้ถูกใช้เป็นสถานที่คุมขังนักโทษทางการเมืองในสมัยสงครามกลางเมืองอเมริกันตั้งแต่ปี ค.ศ. 1861 (พ.ศ. 2404)
จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1934 (พ.ศ. 2477) สำนักงานราชทัณฑ์ของรัฐบาลกลางสหรัฐฯ หรือ เอฟบีพี ได้ตัดสินใจเปิดเรือนจำขึ้นบนเกาะแห่งนี้ โดยมีการก่อสร้างอาคารและสิ่งปลูกสร้าง รวมถึงป้อมค่ายต่าง ๆ เพิ่มเติมจากสมัยสงครามกลางเมือง เพื่อใช้เป็นสถานที่สำหรับรองรับบรรดานักโทษระดับแถวหน้าของประเทศ เจ้าพ่อมาเฟีย โจรปล้นธนาคาร รวมถึงอาชญากรสุดโฉดที่ไม่มีเรือนจำแห่งใดในประเทศเอาอยู่ ภายใต้ระบบการรักษาความปลอดภัยที่มีความเข้มงวดสูงสุด หรือที่เรียกกันว่าเป็นเรือนจำระดับ "ซูเปอร์แม็กซ์" ซึ่งนักโทษชื่อดังหลายคน เช่น อัล คาโปน, รอเบิร์ต สเตราด์, จอร์จ เคลลี, เจมส์ บัลเจอร์ และแอลวิน คาร์ปิส ก็เคยถูกคุมขังในเรือนจำแห่งนี้
ทั้งนี้ จากสถิติความพยายามของนักโทษที่จะหลบหนีจากความโหดร้ายทารุณภายในเรือนจำแห่งนี้ พบว่ามีทั้งสิ้น 14 ครั้งและมีนักโทษที่พยายามหลบหนีออกจากเกาะอัลคาทราซทั้งสิ้น 36 คน แต่ไม่เคยมีใครทำสำเร็จ โดยนักโทษ 23 คน ถูกตามจับกลับมาและโดนทรมานปางตาย อีก 6 รายถูกยิงทิ้งขณะหลบหนี ส่วนที่เหลือแม้จะหนีออกมาจากเกาะได้ แต่ก็มีอันต้องจมน้ำเสียชีวิตในอ่าวซานฟรานซิสโก
อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 20 มีนาคม ปี 1963 (พ.ศ. 2506) คุกอัลคาทราซได้ปิดตัวลงอย่างเป็นทางการ จากคำสั่งของ โรเบิร์ต เอฟ เคนเนดี รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ ที่เห็นว่าค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเรือนจำแห่งนี้สูงมากเมื่อเทียบกับเรือนจำอื่น ๆ ในประเทศ อีกทั้งตัวอาคารและสิ่งปลูกสร้างต่าง ๆ บนเกาะอัลคาทราซถูกกัดกร่อนด้วยฤทธิ์ของเกลือจากน้ำทะเลจนเสื่อมสภาพยากจะซ่อมแซม
แต่ต่อมา พื้นที่แห่งนี้ได้เปิดเป็นศูนย์ฝึกอบรมอาชีพให้กับคนพื้นเมืองอเมริกัน ในปี พ.ศ. 2512-2514 ก่อนจะถูกปิดไปอีกครั้ง และในปีต่อมาเกาะอัลคาทราซก็ถูกโอนเข้าเป็นส่วนหนึ่งของอุทยานแห่งชาติ "Golden Gate National Recreation Area" และเปิดเป็นสถานที่ท่องเที่ยวทางประวัติศาสตร์
และด้วยกิตติศัพท์ความเป็นคุกที่โหดที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีนักโทษจำนวนไม่น้อยที่เสียชีวิตในคุกแห่งนี้ ก็ทำให้มีนักท่องเที่ยวบางส่วนเปิดเผยเช่นกันว่า พวกเขามักได้ยินเสียงประหลาด ๆ เช่น เสียงตัดเหล็ก เสียงปิดประตูห้องขัง หรือเสียงหวีดร้องจากห้องใต้ดิน ซึ่งยังคงมีผู้ได้ยินอยู่อย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบัน แม้เรือนจำแห่งนี้จะปิดตัวไปนานมากแล้วก็ตาม