จู่ ๆ ใครจะไปคิดว่าสื่อสังคมออนไลน์อย่าง "ทวิตเตอร์" จะช่วยให้คุณลดน้ำหนักได้ แต่มันก็เกิดขึ้นแล้วจริง ๆ ซึ่งเป็นผลจากการศึกษาทดลองของกลุ่มนักวิจัยจากวิทยาลัยสาธารณสุขแห่งมหาวิทยาลัยเซาธ์แคโรไลนา สหรัฐฯ ทั้งยังได้รับการตีพิมพ์ลงในวารสาร Translational Behavioral Medicine อีกด้วย
กลุ่มนักวิจัยได้ทำการทดลองกับชายหญิงผู้มีปัญหาเรื่องน้ำหนักตัวทั้งหมด 96 คน โดยทั้งหมดมีอุปกรณ์สื่อสารที่สามารถใช้เชื่อมต่ออินเทอร์เน็ตได้ และถูกให้ดาวน์โหลดพ็อดคาสท์ (podcast) ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับการลดน้ำหนัก การออกกำลังกาย และการเลือกรับประทานอาหารลงไปด้วย แต่มีเพียงครึ่งหนึ่งของคนในกลุ่มนี้เท่านั้นที่ถูกจัดให้ติดตั้งแอพพลิเคชั่น "ทวิตเตอร์" ลงไปยังอุปกรณ์สื่อสารของตนเอง โดยผู้ร่วมการทดลองในกลุ่มหลังนี้ถูกขอให้ทวีตสถานะน้ำหนักของตัวเองลงในทวิตเตอร์เป็นระยะเพื่อเป็นการติดตามความคืบหน้าของการลดน้ำหนัก ในขณะที่กลุ่มแรกให้บันทึกน้ำหนักของตัวเองลงในสมุด
เมื่อผลการทดลองผ่านไปอีก 6 เดือนให้หลัง พบว่า ค่าเฉลี่ยในการลดน้ำหนักที่ทำได้นั้นอยู่ที่ 2.7% เท่ากันทั้งสองกลุ่ม แต่เมื่อแยกดูเป็นรายบุคคลแล้วก็ได้พบว่า ในกลุ่มที่มีการใช้ทวิตเตอร์ ผู้ที่มีการโพสต์ข้อความลงในทวิตเตอร์มากที่สุดสามารถลดน้ำหนักได้มากที่สุดด้วย โดยสามารถหาค่าเฉลี่ยได้ว่าทุก ๆ 10 ทวีต จะมีผลต่อน้ำหนักที่ลดลงราว 0.5%
เหตุที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะ การมีสื่ออย่างทวิตเตอร์เป็นสื่อกลาง และการได้รับข้อมูลเรื่องการลดน้ำหนักทางพ็อดคาสท์ กระตุ้นให้ผู้ร่วมการทดลองในกลุ่มหลังได้นำข้อมูลเหล่านั้นมาถกเถียงปรึกษากัน ทั้งยังมีการแลกเปลี่ยนปัญหาและประสบการณ์ในการลดน้้ำหนัก รวมไปถึงการให้กำลังใจซึ่งกันและกันภายในกลุ่มด้วย โดยข้อความส่วนใหญ่ 81% เป็นการบอกเทคนิคหรือวิธีปฏิบัติในการลดน้ำหนักที่ตัวเองได้ทำในวันนั้น ๆ เช่น "วันนี้กินมื้อเช้าโดยไม่มีขนมปัง และดื่มกาแฟมอคค่าไม่ใส่วิปครีม .. รสชาติก็ไม่ได้แย่อย่างที่คิด", 75% เป็นการทวีตเรื่องข้อมูลเกี่ยวกับการลดน้ำหนักที่ได้รับจากพ็อดคาสท์ในแต่ละสัปดาห์, 6.6% เป็นข้อความปลุกใจเรื่องการลดน้ำหนัก และ 4.6% เป็นการชื่นชมและให้กำลังใจเพื่อนในกลุ่มด้วยกันเอง
หากวิธีนี้ใช้ได้ผลกับคนส่วนใหญ่จริง ๆ ก็นับว่าคงจะดีไม่น้อยที่จะได้มีวิธีช่วยให้คนสามารถลดน้ำหนักได้ง่ายขึ้นอีกทาง จะว่าไปก็นับเป็นประโยชน์ของอิทธิพลสังคมออนไลน์ที่ทำให้เกิดโครงข่ายสังคมเล็ก ๆ ของกลุ่มคนที่มีความสนใจในเรื่องเดียวกัน มีเป้าหมายร่วมกัน และเข้าใจในกันและกัน จึงทำให้มีกำลังใจในการทำสิ่งที่ตัวเองกำลังพยายามอยู่มากขึ้นนั่นเอง