หาก “ความฟุ่มเฟือย” หมายถึง “ความทันสมัย” ในนิยามของบางคน จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่เมืองไทยจะมีเบอร์โทรศัพท์มากกว่าจำนวนพลเมือง คลั่งไคล้ไอโฟนกันเป็นบ้าเป็นหลัง แถมคนหนึ่งก็มีมือถือไม่รู้ตั้งกี่เครื่อง เล่นเฟซบุ๊กจนเป็นแชมป์โลก ชอปปิ้งของนอกครั้งละหลายล้าน มีหลายสิ่งที่คนไทยมักจะทำอะไรอย่างบ้าคลั่งจนเกินความพอดีได้อย่างไม่น่า เชื่อ!
“คนไทยไม่แพ้ชาติใดในโลก” โดย เฉพาะพฤติกรรมลบๆ กับค่านิยมใช้ของหรู ราคาแพง ฟุ่มเฟือยกับสิ่งของที่ไม่จำเป็น ยึดติดกับสังคมบริโภคนิยมมากเกินพอดี หลงกระแสสังคมฟุ้งเฟื้อ แม้ต้องกู้และเสียดอกเบี้ยสาหัสสากรรจ์ก็พร้อมยอมจ่าย จนติดนิสัยใช้เงินเกินตัวไปแล้ว
ยุคสมาร์ทโฟน บ้า 'อัป โหลด แชร์'
ด้วย รสนิยมของคนรุ่นใหม่ที่ชอบเปลี่ยนโทรศัพท์มือถือเป็นว่าเล่น รุ่นไหนใหม่ล่ามาแรงก็หาซื้อกันตามกระแส ไม่ต่างจากเทรนด์แฟชั่น ต้องหน้าจอทัชสกรีน เล่นอินเทอร์เน็ตได้ ไว้อัป โหลด แชร์ วอทแอปกันให้กระจาย จนบางครั้งมากเกินความจำเป็น
บาง คนไม่ได้มีมือถือแค่เครื่องเดียว พก 2 เครื่อง 3 เครื่อง ราวกับนักธุรกิจพันล้าน แต่จริงๆ เป็นแค่นักเรียนนักศึกษา ป.ตรี ที่ส่วนใหญ่มีไว้แชต ไลน์ ถ่ายรูป อินสตราแกรม ไม่รู้ว่าจะคุ้มค่ากับเงินที่ซื้อมารึเปล่า?
นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเมืองไทยมีประชากร 65 ล้านคน แต่มีจำนวนหมายเลขโทรศัพท์ถึง 80 ล้านเบอร์
เบอร์ มือถือที่มากเกินจำนวนพลเมืองกว่า 10 ล้านเบอร์ ทั้งยังมีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น พร้อมกับมือถือสมาร์ทโฟน ซึ่งปีนี้มีจำนวนการซื้อเพิ่มขึ้น 2-3 เท่าตัว และบางรุ่นยังรองรับระบบ 2 ซิมได้อีกต่างหาก เท่านั้น ไม่พอ โปรโมชันแถมซิมแจกซิมของแต่ละค่ายยังเข้ามาเสริม ยิ่งทำให้จำนวนคนใช้สูงขึ้น สิ่งที่ตามมาจึงกลายเป็นการใช้จ่ายเกินตัว
ไม่ ใช่เฉพาะเด็กวัยรุ่นบางกลุ่มที่อินเทรนด์เปลี่ยนมือถือรุ่นใหม่อยู่เรื่อยๆ จนกลายเป็นภาระของครอบครัว พนักงานออฟฟิศกินเงินเดือนไม่ถึงหมื่นบางคนยังมีไอโฟนใช้เสริมความหรู ให้ดูดีมีระดับ จะบอกว่าเป็นเหมือนเครื่องประดับก็คงไม่ผิด เพราะบางคนมีใช้เพื่อโอ้อวดอย่างนั้นจริงๆ หากไม่มีเงินสดซื้อ ก็ขอใช้สิทธิ์ผ่อนสบายๆ แบบดอกเบี้ย 0% นาน 4 เดือน ถือว่าคุ้มค่า ถ้าพวกเขาต้องการมันเพื่อยกระดับฐานะทางสังคม
มีคนบางจำพวกที่อาจใช้คำว่า “คลั่งไคล้” จนเกินเหตุ อย่างสาวกแอปเปิล ไม่ว่าสินค้าตระกูล “ไอ” จะ ออกมาแบบไหนให้เลือกซื้อ สาวกแอปเปิลไม่เคยพลาด กวาดเรียบทุกรายการ ไล่ระดับความต้องการถือครอง ตั้งแต่ ไอโฟน 3 4 5 มาเป็นไอแพด และล่าสุดกับไอแพด มินิ ที่ตัวแทนจำหน่าย 3 เครือข่ายค่ายยักษ์ของไทยบอกอย่างเต็มปากเต็มคำว่า มีคนให้ความสนใจไม่แพ้ ไอโฟน 5 ที่เคยเปิดตัวไปก่อนหน้าแล้ว
เมื่อ กระแสไอโฟน ถูกผูกติดกับรสนิยมหรู มีระดับ ที่ใครๆ ก็อยากครอบครอง สื่อบ้านเราก็ยิ่งประโคมข่าวกระตุ้นสาวกแอปเปิลด้วยการนับเคานต์ดาวน์เพื่อ แชะภาพคนซื้อไอโฟนคนแรกในไทย จึงปฏิเสธไม่ได้สื่อมวลชนเองนั่นแหละที่ทำให้คนมีความคิดแบบนั้น
ก่อน หน้านี้คุณตัน ภาสกรนที ก็เล่นเกมรุกเกาะกระแสแอปเปิล ด้วยการแจกไอโฟน 5 เหมือนกัน แม้ว่าต่อมาจะออกมาประกาศยกเลิกการแจกกลางครัน และก่อนหน้านี้เคยประกาศแจกโทรศัพท์มือถือ OPPO 30 เครื่อง ด้วยกติกาง่ายๆ แค่กด Like แล้ว Share ถือเป็นการทำมาร์เกตติ้งในโลกยุคคนคลั่งเทคโนโลยีได้อย่างเหมาะเจาะ
ต้อง ยอมรับว่าเทคโนโลยีโทรศัพท์มือถือในปัจจุบันพัฒนาไปมาก ไปถึงจุดที่มือถือสมัยก่อนไม่สามารถทำได้ และทำให้ใช้ชีวิตง่ายขึ้นมาก แม้แต่การวางแผนเดินทาง ดูแผนที่ เช็กข้อมูลจราจรสามารถทำได้ผ่านมือถือทั้งหมด แต่หากเรายึดใช้ตามเทรนด์อย่างไม่คำนึงถึงความคุ้มค่า หลงเล่ห์กลการตลาดที่โฆษณาปั่นกระแสแก่ผู้คนในสังคม ก็จะติดนิสัยฟุ่มเฟือย ใช้จ่ายเกินตัว
กรุงเทพฯ แชมป์เมืองเล่นเฟซบุ๊ก
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อ เมื่อสถิติชี้ชัดว่าคนกรุงเทพฯ เป็นเมืองเล่นเฟซบุ๊กอันดับ 1 ของ โลก สะท้อนถึงชีวิตคนเมืองทุกวันนี้ แทบจะเรียกได้ว่าเดินคู่ขนานกับโลกออนไลน์ คุ้นเคยเสมือนหนึ่งเป็นเพื่อนแก้เหงาทั้งยามว่าง และไม่ว่าง จนเทคโนโลยีเข้ามากินพื้นที่ชีวิตมากเกินไป
หาก ย้อนดูสถิติการเล่นเฟซบุ๊กในแต่ละเมือง อันดับที่ 1 ได้แก่กรุงเทพฯ ประเทศไทย มีคนเล่นกว่า 8,682,940 คน ซึ่งมากกว่าอันดับที่ 2 ราวล้านคน นั่นคือ เมืองจาการ์ตา ประเทศอินโดนีเซีย มีคนเล่นกว่า 7,434,580 คน อันดับที่ 3 ได้แก่เมือง อิสตันบูล ประเทศ ตุรกี มีคนเล่นกว่า 7,066,700 คน
ลอง พิจารณาดูอย่างมีเหตุผลซิว่าทำไมเมืองหลวงเล็กๆ อย่างกรุงเทพฯ ที่ไม่ได้ใหญ่โตไปกว่าหลายๆ เมืองในโลก ถึงได้มีคนเล่นเฟซบุ๊กอย่างไม่ลืมหูลืมดู บางคนไม่หลับไม่นอน นั่งเล่นดึกดื่นยันเช้าจนหัวใจวายตายก็มีเป็นตัวอย่างให้เห็น
บาง คนใช้เฟซบุ๊กไม่รู้จักเวลา เล่นเกมปลูกผักในคาบเรียน แชตเฟซกับเพื่อน อัป โหลด แชร์ ขึ้นสเตตัสในเวลางาน เผลอๆ ใช้คอมพิวเตอร์ที่ทำงานด้วยซ้ำ ถ้าบางคนใช้เพื่อทำงานก็ไม่ว่ากัน แต่ถ้าใช้ในเชิงไร้สาระ เป็นสื่อรักจีบสาวก็ไม่ควรอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเวลางาน กระทั่งกระทรวงมหาดไทย (มท.) ต้องออกคำสั่ง ห้ามข้าราชการมท. เล่นเว็บดัง "เฟซบุ๊ก" ในเวลาราชการ
นับ วันอาการติดเฟซบุ๊กของคนไทย มันมากจนเกินขีดความยับยั้งชั่งใจ เชื่อเลยว่าตอนนี้คนใช้อินเทอร์เน็ตเกินครึ่ง ถ้าเปิดคอมพิวเตอร์ปุ๊บ ต้องรีบเปิดเฟซบุ๊กปั๊บ บางคนติดหนักถึงขนาดไม่สนใจคนรอบข้าง นั่งจิ้ม นั่งกด คุยกับคนในโลกออนไลน์ได้ทั้งวันทั้งคืน จนมีกรณีฆ่ากันตาย เพราะหึงแฟนคุยเฟซบุ๊กก็เคยตกเป็นข่าวมาแล้ว
โศก นาฏกรรม และ อาชญากรรมจากเฟซบุ๊กยังมีให้เห็นไม่เว้นวัน จึงควรใช้อย่างมีสติ ถ้าไม่อย่างนั้นจากที่เราเคยใช้มัน อนาคตมันอาจจะใช้เรา
นโยบายรถยนต์คันแรก ทำป้ายทะเบียนหมดประเทศ
“10 ปีที่ผ่านมาพบว่า กทม.มีรถเพิ่มขึ้นทุกปี เฉลี่ยปีละ 2.4 แสนคัน แต่ในเดือนสิงหาคมปี 2555 มีปริมาณรถเพิ่มแล้ว 6.7 แสนคัน”
จากนโยบาย ลดภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาล ทำให้คนแห่ซื้อรถยนต์เป็นทิวเป็นแถว รถใหม่ป้ายแดงที่ว่าโก้ว่าหรูออกมาขับท่องถนนกันให้เกลื่อน จนจราจรคับคั่งผิดหูผิดตา แม้รัฐบาลจะออกมาปฏิเสธว่าจราจรที่ติดขัดนั้นไม่ได้มาจากนโยบายดังกล่าว แต่ก็ไม่ได้ทำให้รถยนต์ที่เคยติดอยู่แล้วน้อยลงกว่าเดิม ซ้ำร้ายป้ายทะเบียนที่เราใช้กันมาหลายสิบปีดันหมด จากที่คาดการณ์ว่าจะใช้ได้ถึงต้นปีหน้า
จาก ข้อมูลการจดทะเบียนรถใหม่ของทางกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) ขณะนี้เฉลี่ยเดือนละ 50,000 คัน จากปกติมีรถใหม่จดทะเบียนเฉลี่ยเดือนละ 20,000 คัน เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนจากนโยบายรถยนต์คันแรก ส่งผลให้เลขทะเบียนรถยนต์ที่มีตัวอักษร นำ 2 ตัว ตามด้วยหมายเลข หมดลงในเดือน พ.ย. ทำให้กรมการขนส่งทางบก เตรียมใช้ทะเบียนรถยนต์แบบใหม่อีก แบบมีตัวเลข 1 ตัวนำตัวอักษร 2 ตัว ตามด้วยเลขทะเบียนไม่เกิน 4 ตัวและชื่อจังหวัด เช่น 8กก 8888 กรุงเทพมหานคร
หลัง จากมีการใช้ป้ายทะเบียนแบบใหม่กลางเดือนตุลาคมที่ผ่านมา จะสามารถใช้จดทะเบียนรถใหม่ได้อีกนานถึง 157 ปี คิดเป็นจำนวนรถทั้งสิ้น 56,334,366 คัน นี่เป็นตัวเลขในอนาคต เมื่อเทียบกับพื้นที่ถนนในปัจจุบัน แทบทุกมุมตึกในกรุงเทพฯ จะเห็นเส้นถนนพาดสลับกันราวกับใยแมงมุม ทุกพื้นที่สาธารณะใช้เป็นถนนให้รถวิ่ง ซึ่งดูเหมือนถนนแต่ละเส้นไม่พอกับจำนวนรถที่เพิ่มขึ้นทุกปีด้วยซ้ำ
มา ถึงตอนนี้ความจริงปรากฏให้เห็นแล้วว่านโยบายรถยนต์คันแรก นอกจากจะไม่สามารถแก้ปัญหารถติดได้ แล้ว หนำซ้ำยังทำให้รถติดหนักเพิ่มไปอีก สังคมบอบช้ำไม่พอยังปลูกฝังค่านิยมเรียนจบต้องมีรถขับ เด็กยังไม่ทันได้ทำงานจะเอาเงินที่ไหนไปซื้อรถ ถ้าไม่ใช่ครอบครัวสนับสนุน นโยบายลดภาษีรถจึงเป็นแรงกระตุ้นให้ผู้ใหญ่ตาโต แล้วคิดบ้างไหมว่ามันจำเป็นแค่ไหน แถมสิ้นเปลืองพลังงานชาติ และยิ่งเป็นการตอกย้ำนโยบายสอบตกของรัฐบาลชุดนี้ว่าไม่มีความรับผิดชอบ
คนไทยนักชอประดับท็อปของโลก
ยอด นำเข้าสินค้าฟุ่มเฟือยเพิ่มขึ้นผิดหูผิดตา เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องสำอาง กระเป๋าถือ แว่นตา รถหรู กำลังพุ่งทะยาน สวนทางส่งออก จนทำให้ประเทศไทยขาดดุลการค้ากว่า 2.7 แสนล้านบาท ขณะที่ต่างชาติมองไทยว่าเป็นประเทศที่มีการเติบโตด้านกำลังซื้อมากที่สุดติด อันดับ 1 ของโลก จากการขยายตัวของกลุ่มชนชั้นกลาง ที่มีรายได้เพิ่มขึ้น ซึ่งกระตุ้นภาคการค้าปลีกให้เติบโตสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง
จาก การสำรวจข้อมูลนักท่องเที่ยวจากทั่วโลกที่เดินทางไปจับจ่ายใช้สอยในกลุ่ม ประเทศยุโรป ในปี 2555 พบว่า นักท่องเที่ยวไทย ซื้อสินค้าและยื่นขอคืนภาษีจำนวนมาก ติดอันดับ 6 ของโลกขณะที่อันดับ 1 ที่ชอปปิ้งในกลุ่มประเทศยุโรปมากที่สุดคือ ประเทศจีน รองลงมาคือ รัสเซีย ญี่ปุ่น อเมริกา และอินโดนีเซีย ตามลำดับ
แนว โน้มว่าภายใน 3-10 ปี ข้างหน้า ภาพลักษณ์ของประเทศไทยในสายตาของชาวยุโรป ยังคงเป็นนักชอปที่ทรงอิทธิพล อย่างกรณีดารา ไฮโซ เซเลบเมืองไทย ก็ถือเป็นนักช้อปแหลกตัวยง ไม่ใช่มือสมัครเล่นแน่นอน เพราะชอปของเมืองนอกแต่ละที ต้องแบรนด์เนมเท่านั้น ครั้งหนึ่งหมดเงินไปเป็นล้าน เบาๆ ก็หลักแสน มีทั้งกระเป๋า เสื้อผ้า รองเท้า เครื่องประดับ คอลเลกชันไหนใหม่เอี่ยม เหาะไปซื้อถึงต่างประเทศทันที ในราคาที่สมกับความเป็นซุป'ตาร์เมืองไทย
ล่าสุดมีข่าวว่าสาวอั้ม-พัชราภา ซื้อกระเป๋าแอร์เมส ซึ่งเป็นรุ่นเดียวกับ “วิกตอเรีย เบ็คแฮม” ที่ว่ากันว่า ราคาสูงทะลุเพดาน 4 ล้านบาท กระเป๋าใบนี้รึเปล่า? ที่มีส่วนทำให้ไทยขาดดุลการค้า!
คน รวย มีเงินจะซื้อของแพงเพื่อความสุขของตัวเองก็คงไม่มีใครว่า ไม่มีใครห้ามไม่ให้ซื้อได้ แต่ถ้ารวมกันหลายคน ซื้อแล้วซื้ออีก ซื้อไม่รู้จักพอ จนเงินไหลออกนอกประเทศหมด มันคงเป็นเรื่องเสียเปรียบดุลการค้า ส่วนคนมีเงินน้อยแล้วคิดจะเอาตามอย่าง อยากลองเปลี่ยนสะพายกระเป๋าแบรนด์เนมดูบ้าง ทางเลือกของมนุษย์เงินเดือนเหล่านี้ ส่วนใหญ่จะใช้บัตรจ่าย เพราะสะดวกและเต็มใจจ่ายแบบไม่รู้สึกว่าเงินก้อนหนาๆ หายไป แต่ขณะเดียวกันก็ทำให้เงินจ่ายออกไปง่าย ถ้าไม่มีวินัยในการใช้เงิน อาจติดหนี้บัตรเครดิตหัวโตแบบไม่รู้ตัว
บาง สิ่งบางอย่างเป็นเพียงแค่เทรนด์ตามยุคตามสมัย พอหมดกระแสนิยมก็สร่างซา หมดความน่าสนใจ ถ้าหากยึดติดมากไปก็ไม่ดี ไม่สนใจเลยก็ไม่ได้ เพราะสังคมโลกมีอะไรมากกว่าที่จะหยุดอยู่แค่ตัวเรา การยับยั้งชั่งใจเป็นสิ่งที่เราตีกรอบให้ตัวเองได้ ตรงเส้นความพอดีที่เรากำหนดเอง จะได้ไม่ติดอยู่ในสังคมบริโภคนิยมมากเกินไป