ในระยะนี้มีหนุ่มสาวไฟแรง ทีเคยเรืยนดี ทํางานเก่งมาปรึกษาหลายคน ด้วยอาการเพลียใจ ไม่ค่อยมีแรง ไม่สดชื่น เหมือนที่เรืยกว่าขาดไฟนั่นแหละ พวกนี้เรืยนจบปริญญา ทํางานในบริษัทใหญ ๆ มีชื่อเสียง ทุกคนทํางานแข่งขันกับตัวเองและเพื่อนร่วมงานดูเหมือนน่าจะมีความสูขแต่ทําไมยี่งทําไป ๆ รุ้สึกเพลียมากขึ้น ผมสอบถามดูได้ความว่า เขารุ้สึกว่าเขาทํางานหนัก มีประชุมบ่อย เวลาพักผ่อนน้อย บางคนจะมีแฟนก็ไม่มีเวลาให้แฟนเลยเลิกกันไปก็มีพวกที่หาแฟนไม่ได้ ก็ไม่มีโอกาสหาแฟนแต่ละประโยด ที่เขาพูดคล้าย ๆ กันก็คือเขาไม่รุ้ว่าทําไมเขาต้องมาทํางานหนักเช่นนี้ เงินเดือนแม้จะได้มากขึ้น แต่ก็ต้องเสียภาษีมากขึ้น ยี่งทํามากแต่แลดูเหมือนได้เงินน้อยลงอนาคตก็ไม่เห็นจะรํ่ารวย เขาอยากทํางานเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆเช่น เกี่ยวกับการให้เช่าหรือขายอสังหาริมทรัพย์ซึ้งน่าจะรวยกว่า และยังมีเงินเก็บได้มากกว่าแต่ก็ยังไม่พร้อมและขาดประสบการณ์คนเหล่านี้เป็นพวกสมองไว คิดมากและคิดซับซ้อน
ความเพลียเกิดจากความสับสนในตัวเอง เกิดความขัดแย้งในตัวเอง ว่าจะทําอะไรดีจะทํางานเก่าต่อไป หรือจะลาออกหางานใหม่ สมองฉลาดพอที่จะมีคําตอบว่าสี่งใดดีกว่าแต่ตัวเองไม่พร้อมที่จะทําสี่งนั้น ไม่กล้าลอง และไม่กล้าทิ้งงานเก่าเขาจึงเกิดความขัดแย้ง (Conflict) ในใจตลอดมาความขัดแย้งที่มีอยุ่ประจําทําให้ตัดสินใจยาก เกิดเป็นความเครียดสะสมมากขึ้น
เมื่อเกิดความเครียด เขาจะขาดสี่งสําคัญ 3 อย่าง คือ
1 ขาดพลังงาน ทําให้รุ้สึกเพลีย เหนื่อยง่าย และหน่ายชีวิต
2 ขาดความคิดสร้างสรรค์ คิดอะไรไม่ค่อยออก ไม่อยากคิด
3 ขาดความรักตัวเองและเพื่อนมนุษย์ทําให้ขาดความกระชุ่มกระชวยขาดความกระตือรือร้น
นี่คือสาเหตุของความเพลียในทุกๆ เช้าที่ลืมตาขึ้นมา และ เพลียมากขึ้นในช่วงเรี่มทํางานตอนกลางวัน พอเลิกงานก็เพลีย กลับบ้านกินข้าว ดูทีวี แล้วก็นอน ทําจนเป้นกิจวัตรประจําวันที่จําเจบางคราวมีงานทําน้อย ก็รุ้สึกเพลียและคิดว่าตัวเองไร้ค่า
ผมสอนให้เขายอมรับตัวเองว่า ขณะนี้เขาเป้นอะไร แค่ไหน การเรืยนรุ้ทําให้ได้ประสบการณ์อุปสรรคทําให้เกิดความเข้มแข็งในอนาคต ทุกอย่างที่ทําอยุ่ในปัจจุบันจะมีทั้งสี่งดีและไม่ดี แต่ต้องรุ้จักเลือกมองสี่งดีให้มากขึ้น ไม่ใช่นั่งจ้องมองสี่งไม่ดี-ไม่ชอบซํ้าๆซึ้งจะทําให้เกิดความหน่าย และเบื่อหน่ายทุกอย่าง สอนให้มองโลกในงแ่ดีว่าต้องมีทางออกที่ดีๆ สอนให้มีอารมณ์ขัน อย่าไปจริงจังกับชีวิตมากนัก จะยี่งยี่งเครียดมากขึ้น และให้ปรับตัวเข้าหาสภาพความเป็นจริง ให้ออกกําลังกาย มองโลกในแง่ดี รุ้จักสร้างความหวัง และลดความคาดหวังที่มากๆลงเสีย คนพวกนี้ผ่านชีวิตวัยเด็กที่ได้ทุกอย่างง่ายๆ และได้อย่างรวดเร็ว เช่น เรียนจบได้เร็ว พอเป็นวัยรุ่นก็สนุกกับชีวิต พอมาพบปัญหาของชีวิตจริงเข้า ก็ไม่อยากยอมรับ เรี่มมองเห็นทุกข์การจะปรับตัวให้รับความจริง รุ้จักตั้งความหวังและยอมรับให้ได้ว่า แม้จะทําเต็มที่แล้วก็อาจไม่ได้ดั่งใจนึกเป็นสี่งที่เขาต้องเข้าใจและทําใจยอมรับให้ได้
เขืยนถึงตรงนี้แล้วนึกถึงบทกวีของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพบทหนึ่งที่ว่า " ยามเยาว์เห็นโลกล้วน แสนสนุกเป็นหนุ่มสาวแสนสูข คํ่าเช้ากลางคนเรี่มเห็นทุกข์ สูขคุ่กัน หนอตกแก่จึงรุ้เค้า ว่าล้วน อนิจจังมนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้เอง"
ถ้ารุ้ ความจริงและยอมรับธรรมชาติของมนุษย์ได้ดั่งบทกวีข้างบนนี้จะ ไม่ทุกข์มากนักหรอกครับ ไม่ต้องรอให้ตกตอนแก่แล้วจึงค่อยรุ้เค้าว่า ทุกสี่งล้วนไม่แน่นอนหรอกใครรุ้และยอมรับได้เร็ว ก็ทุกข์น้อยลงหายเพลียใจได้ทันทีครับ จบ...สวัสดีครับ