เหตุที่เพลียในทุกเช้า และเพลียมากในช่วงเรี่มทํางาน!!!!!

ในระยะนี้มีหนุ่มสาวไฟแรง ทีเคยเรืยนดี  ทํางานเก่งมาปรึกษาหลายคน ด้วยอาการเพลียใจ ไม่ค่อยมีแรง ไม่สดชื่น เหมือนที่เรืยกว่าขาดไฟนั่นแหละ พวกนี้เรืยนจบปริญญา  ทํางานในบริษัทใหญ ๆ มีชื่อเสียง  ทุกคนทํางานแข่งขันกับตัวเองและเพื่อนร่วมงานดูเหมือนน่าจะมีความสูขแต่ทําไมยี่งทําไป ๆ  รุ้สึกเพลียมากขึ้น  ผมสอบถามดูได้ความว่า  เขารุ้สึกว่าเขาทํางานหนัก มีประชุมบ่อย เวลาพักผ่อนน้อย  บางคนจะมีแฟนก็ไม่มีเวลาให้แฟนเลยเลิกกันไปก็มีพวกที่หาแฟนไม่ได้  ก็ไม่มีโอกาสหาแฟนแต่ละประโยด  ที่เขาพูดคล้าย ๆ กันก็คือเขาไม่รุ้ว่าทําไมเขาต้องมาทํางานหนักเช่นนี้  เงินเดือนแม้จะได้มากขึ้น แต่ก็ต้องเสียภาษีมากขึ้น  ยี่งทํามากแต่แลดูเหมือนได้เงินน้อยลงอนาคตก็ไม่เห็นจะรํ่ารวย เขาอยากทํางานเป็นเจ้าของกิจการเล็กๆเช่น  เกี่ยวกับการให้เช่าหรือขายอสังหาริมทรัพย์ซึ้งน่าจะรวยกว่า และยังมีเงินเก็บได้มากกว่าแต่ก็ยังไม่พร้อมและขาดประสบการณ์คนเหล่านี้เป็นพวกสมองไว คิดมากและคิดซับซ้อน

 ความเพลียเกิดจากความสับสนในตัวเอง  เกิดความขัดแย้งในตัวเอง  ว่าจะทําอะไรดีจะทํางานเก่าต่อไป  หรือจะลาออกหางานใหม่  สมองฉลาดพอที่จะมีคําตอบว่าสี่งใดดีกว่าแต่ตัวเองไม่พร้อมที่จะทําสี่งนั้น ไม่กล้าลอง  และไม่กล้าทิ้งงานเก่าเขาจึงเกิดความขัดแย้ง (Conflict)  ในใจตลอดมาความขัดแย้งที่มีอยุ่ประจําทําให้ตัดสินใจยาก เกิดเป็นความเครียดสะสมมากขึ้น 

 เมื่อเกิดความเครียด  เขาจะขาดสี่งสําคัญ 3 อย่าง คือ 

 1  ขาดพลังงาน ทําให้รุ้สึกเพลีย  เหนื่อยง่าย และหน่ายชีวิต 

 2  ขาดความคิดสร้างสรรค์  คิดอะไรไม่ค่อยออก ไม่อยากคิด 

 3  ขาดความรักตัวเองและเพื่อนมนุษย์ทําให้ขาดความกระชุ่มกระชวยขาดความกระตือรือร้น 

 นี่คือสาเหตุของความเพลียในทุกๆ เช้าที่ลืมตาขึ้นมา  และ  เพลียมากขึ้นในช่วงเรี่มทํางานตอนกลางวัน  พอเลิกงานก็เพลีย  กลับบ้านกินข้าว  ดูทีวี แล้วก็นอน  ทําจนเป้นกิจวัตรประจําวันที่จําเจบางคราวมีงานทําน้อย ก็รุ้สึกเพลียและคิดว่าตัวเองไร้ค่า 

  ผมสอนให้เขายอมรับตัวเองว่า  ขณะนี้เขาเป้นอะไร  แค่ไหน  การเรืยนรุ้ทําให้ได้ประสบการณ์อุปสรรคทําให้เกิดความเข้มแข็งในอนาคต  ทุกอย่างที่ทําอยุ่ในปัจจุบันจะมีทั้งสี่งดีและไม่ดี  แต่ต้องรุ้จักเลือกมองสี่งดีให้มากขึ้น  ไม่ใช่นั่งจ้องมองสี่งไม่ดี-ไม่ชอบซํ้าๆซึ้งจะทําให้เกิดความหน่าย  และเบื่อหน่ายทุกอย่าง  สอนให้มองโลกในงแ่ดีว่าต้องมีทางออกที่ดีๆ  สอนให้มีอารมณ์ขัน  อย่าไปจริงจังกับชีวิตมากนัก  จะยี่งยี่งเครียดมากขึ้น  และให้ปรับตัวเข้าหาสภาพความเป็นจริง  ให้ออกกําลังกาย  มองโลกในแง่ดี  รุ้จักสร้างความหวัง  และลดความคาดหวังที่มากๆลงเสีย  คนพวกนี้ผ่านชีวิตวัยเด็กที่ได้ทุกอย่างง่ายๆ  และได้อย่างรวดเร็ว  เช่น  เรียนจบได้เร็ว  พอเป็นวัยรุ่นก็สนุกกับชีวิต  พอมาพบปัญหาของชีวิตจริงเข้า  ก็ไม่อยากยอมรับ  เรี่มมองเห็นทุกข์การจะปรับตัวให้รับความจริง  รุ้จักตั้งความหวังและยอมรับให้ได้ว่า  แม้จะทําเต็มที่แล้วก็อาจไม่ได้ดั่งใจนึกเป็นสี่งที่เขาต้องเข้าใจและทําใจยอมรับให้ได้ 

 เขืยนถึงตรงนี้แล้วนึกถึงบทกวีของสมเด็จกรมพระยาดํารงราชานุภาพบทหนึ่งที่ว่า "  ยามเยาว์เห็นโลกล้วน  แสนสนุกเป็นหนุ่มสาวแสนสูข  คํ่าเช้ากลางคนเรี่มเห็นทุกข์  สูขคุ่กัน  หนอตกแก่จึงรุ้เค้า  ว่าล้วน  อนิจจังมนุษย์เราก็เป็นเช่นนี้เอง"

 ถ้ารุ้  ความจริงและยอมรับธรรมชาติของมนุษย์ได้ดั่งบทกวีข้างบนนี้จะ  ไม่ทุกข์มากนักหรอกครับ  ไม่ต้องรอให้ตกตอนแก่แล้วจึงค่อยรุ้เค้าว่า  ทุกสี่งล้วนไม่แน่นอนหรอกใครรุ้และยอมรับได้เร็ว  ก็ทุกข์น้อยลงหายเพลียใจได้ทันทีครับ จบ...สวัสดีครับ

Credit: สูขภาพ"องค์รวม"
#นานาสาระ
THEPOco
ผู้กำกับภาพ
สมาชิก VIP
19 ก.พ. 53 เวลา 08:42 2,520 8 142
แชร์สกู๊ป
กรุณา Login เพื่อแสดงความคิดเห็น
ส่ง Scoop ให้เพื่อน
แจ้งลบไม่เหมาะสม
ความคิดเห็น

เรื่องอื่นๆ ที่น่าสนใจ

Loading...