วันนี้ (11 มี.ค.) พ.ต.อ.พันธนะ นุชนารถ ผกก.สน.ร่มเกล้า พ.ต.ท.นคร ทองพานิช รอง ผกก.สส. พ.ต.ต.อุกฤช ศรีนิติวรวงศ์ สว.สส. พร้อมฝ่ายสืบสวน แถลงผลจับกุมแก๊งตกทองรวม 6 รายประกอบด้วย นายนิวัตร มะตัน อายุ 47 ปี ชาว จ.นครศรีธรรมราช หัวหน้าแก๊ง นายสรายุทธ มะตัน อายุ 25 ปี นายศุภโชค พลาหาญ อายุ 23 ปี นายพานุ ภาคทรัพย์ อายุ 24 ปี น.ส.วิลาวรรณ์ กิ่งกล่อม อายุ 31 ปี และ น.ส.นิภาพร บุญกุศล อายุ 31 ปี พร้อมของกลาง พระเลี่ยมทองปลอม 12 องค์ พระเครื่อง 1 องค์ สร้อยคอทองคำ 1 เส้น แหวนทองน้ำหนัก 50 สตางค์ 1 วง กรอบพระทองคำ รถเก๋งยี่โตโยต้า โคโรล่า สีบรอนซ์ทอง ทะเบียน ษจ 9022 กรุงเทพมหานคร และโทรศัพท์มือถือ 6 เครื่อง
สืบเนื่องจาก เมื่อต้นเดือน ม.ค. ที่ผ่านมา มีพนักงานสาวบริษัทเอกชนแห่งหนึ่ง เข้ามาแจ้งความว่า ถูกกลุ่มคนร้ายเข้ามาตีสนิทแล้วหลอกเอาสร้อยคอทองคำหนัก 2.50 บาทไป โดยใช้วิธีแบ่งหน้าที่กันหลายคน จะนั่งตระเวนหาเหยื่อที่สวมสร้อยคอทองคำ จากนั้นก็จะส่งคนร้ายผู้หญิง 1 คน เข้าไปตีสนิทกับเหยื่อ โดยแกล้งทำเป็นว่าเพิ่งมาจากต่างจังหวัด แล้วถามเส้นทางเพื่อจะนำพระสมเด็จเลี่ยมทองมูลค่า 2 แสนบาท ไปขายเพื่อนำเงินไปรักษาพ่อแม่ที่ป่วยอยู่ จากนั้นก็จะมีคนร้ายเป็นหญิงอีก 1 รายทำทีเข้ามาช่วยเหลืออีกคน พร้อมอ้างว่ารู้จักร้านขายทองย่านร่มเกล้า และทำทีโทรศัพท์คุยกับคนร้ายในแก๊งที่อ้างว่าเป็นเจ้าของร้านทองเพื่อการันตีว่าพระองค์นี้มีราคาสูงถึง 7 แสนบาท เมื่อเหยื่อหลงเชื่อ คนร้ายก็ทำทีโบกเรียกรถแท็กซี่เพื่อเดินทางไปร้านทอง ก่อนที่มีคนร้ายอีกคนจะสวมรอยเป็นโชเฟอร์ แกล้งขับผ่านมาเหมือนบังเอิญ จากนั้นคนร้ายสาวที่ต้องการขายทองได้พูดจาหวานล้อมจนเหยื่อสงสารและหลงเชื่อ จึงตกหลุมพรางยอมขึ้นรถไปด้วย เมื่อทั้งหมดขึ้นรถ โชเฟอร์ก็จะแกล้งทำทีขอดูพระเครื่องดังกล่าวพร้อมยืนยันว่ามีราคาสูงจริง ยิ่งทำให้ผู้เสียหายเชื่อใจมากขึ้น ต่อมาพอขับมาใกล้ถึงตลาดร่มเกล้า กลุ่มคนร้ายก็ให้แท็กซี่จอดรถเพื่อที่คนร้ายที่เป็นหญิงจะขอลงรถตรงนี้ รวมทั้งวานให้เหยื่อช่วยนำพระไปขายให้ที่ร้านทองเพียงคนเดียว เนื่องจากอ้างว่าหิวข้าวบ้าง หรือมีเหตุจำเป็นอื่นๆบ้าง แต่จะขอสร้อยคอทองคำและทรัพย์สินอื่นๆของเหยื่อมาเป็นประกันไว้ก่อนว่า เมื่อเหยื่อยอมถอดทรัพย์สินให้แล้วนั่งรถต่อเพื่อนำทองไปขายเพียงคนเดียว กลุ่มคนร้ายที่ลงรถแล้วก็หลบหนีไปทันที พอมารู้ตัวว่าโดนหลอกก็สายไปแล้ว
พ.ต.อ.พันธนะ กล่าวว่า หลังเกิดเหตุ เจ้าหน้าที่เร่งสืบสวนจนทราบว่า แก๊งดังกล่าวเป็นแก๊งไอ้เป๋ มีนายนิวัตรที่ป่วยเป็นอัมพฤกษ์เดินขากะเผลก เป็นหัวหน้าแก๊ง ส่วนสมาชิกในแก๊งก็จะเป็นกลุ่มเครือญาติของนายนิวัตรทั้งหมด มีประวัติเคยถูกจับกุมด้วย กระทั่งจนได้รับแจ้งว่าเมื่อวันที่ 10 มี.ค. ผู้ต้องหาแก๊งนี้จะรวมตัวกันก่อเหตุอีกครั้งที่ตลาดท็อป แขวงและเขตหนองจอก จึงนำกำลังไปดักซุ่มจนกระทั่งสามารถจับกุมตัวได้ยกแก๊ง
จากการสอบสวนนายนิวัตร ให้การรับสารภาพว่า ตนจะเป็นคนคอยสอนวิธีหลอกเหยื่อให้กับกลุ่มญาติและแบ่งหน้าที่กันทำ วางแผนหลอกไว้ 4 ชั้น โดย น.ส.วิลาวรรณ์กับ น.ส.นิภาพร เป็นคนเข้าไปตีสนิทกับเหยื่อคอยพูดจาหว่านล้อมให้เหยื่อหลงเชื่อ และให้นายพานุ เป็นคนเช่ารถแท็กซี่มาขับก่อเหตุ ขณะที่ นายสรายุทธ จะคอยสังเกตการณ์อยู่ห่างๆ หากเห็นท่าไม่ดีก็จะเข้าไปล้อมเหยื่อไว้ไม่ให้ใครเข้ามาขัดขวาง ส่วนตนกับนายศุภโชค จะเป็นคนนำทรัพย์สินของเหยื่อไปขายนำเงินมาแบ่งกัน 5 ปีที่ผ่านมา ก่อเหตุแล้วกว่า 40 ครั้ง ทรัพย์สินที่ได้มานั้นจำไม่ได้ว่าสูงเท่าไหร่ ส่วนใหญ่จะเลือกก่อเหตุในท้องที่ บก.น.3 เช่น มีนบุรี หนองจอก ร่มเกล้า ส่วนพระเลี่ยมทองปลอมนั้นไปซื้อมาจากย่านท่าพระจันทร์ในราคาองค์ละ 100 บาท แล้วมาหลอกเหยื่อว่ามีมูลค่า 7 แสนถึง 1 ล้านบาท ก่อนหน้านี้เมื่อปี 47 ก็เคยถูก สน.บางเขน จับกุมในคดีฉ้อโกงมาแล้ว
ต่อมา น.ส.ตะติยา ศรีดาฟอง อายุ 31 ปี พนักงานบริษัท ที่เป็นหนึ่งในผู้เสียหายได้มาชี้ตัว ก่อนกล่าวว่า เมื่อวันที่ 17 ก.พ. เวลา 14.00 น. ขณะตนยืนกดเงินอยู่ที่ตู้เอทีเอ็มตรงข้ามตลาดมีนบุรี น.ส.วิลาวรรณ์ ก็ทำทีเข้ามาถามเส้นทางไปบางแค เนื่องจากอ้างว่าต้องการช่วยเหลือ น.ส.นิภาพร ที่เดินทางมาจาก จ.ปราจีนบุรี เพื่อต้องการนำพระสมเด็จวัดระฆังเลี่ยมทองมูลค่า 2 แสนบาทไปขายเอาเงินไปรักษาพ่อที่ป่วยอยู่ ตนจึงบอกทางให้ จากนั้น น.ส.วิลาวรรณ์ ก็บอกว่ารู้จักร้านขายทองย่านร่มเกล้า พร้อมกับโทรศัพท์พูดคุยถามราคากับร้านทอง แล้วร้านทองบอกว่าตีราคาให้สูงถึง 7 แสนบาท ทั้งคู่ก็ออกอุบายให้เรียกรถแท็กซี่ที่มีนายพานุเป็นคนขับไปที่ร้านทอง โดยให้ตนไปเป็นเพื่อนด้วย เพราะ น.ส.นิภาพร ทำท่าทางให้ตัวเองดูใสซื่อไม่ทันคน จนตนเกิดสงสารและต้องช่วยเหลือ เพราะคิดว่ามีสิทธิโดน น.ส วิลาวรรณ์ หลอก
"เมื่อขึ้นรถแท็กซี่มา นายพานุ ก็ทำทีขอดูพระเลี่ยมทองอีกครั้ง ก่อนจะช่วยยืนยันว่ามีราคาสูงถึง 7 แสนบาทจริง หนูหลงเชื่อเพราะไม่มีความรู้เรื่องพระเครื่องมากนัก พอใกล้ถึงตลาดร่มเกล้า น.ส.วิลาวรรณ์ ก็บอกให้นายพานุจอดรถแท็กซี่ พร้อมวานให้หนูนำพระเครื่องไปขายเพียงคนเดียว ทำอ้างว่าขอนั่งกินข้าวรออยู่กับ น.ส.นิภาพร แต่ น.ส.นิภาพร บอกว่าไม่ไว้ใจ เลยขอทรัพย์สินของตนและน.ส.วิลาวรรณ์ มัดจำไว้ก่อนโดยขอมัดจำไว้ 2 แสนบาท น.ส.วิลาวรรณ์ ก็แกล้งทำทีรีบถอดสร้อยทอง เงินสด และโทรศัพท์มือถือให้กับ น.ส.นิภาพรทันที แต่ น.ส.นิภาพร บอกว่าไม่พอ จึงขอให้ตนเอาทรัพย์สินวางไว้ด้วย ตนไม่ทันระวังหลงเชื่อคล้อยตามเลยถอดสร้อยคอทองคำหนัก 50 สตางค์ 1 เส้น โทรศัพท์มือถือยี่ห้อแบล็คเบอร์รี่ 1 เครื่อง นาฬิกาข้อมือ 1 เรือน และเงินสดอีก 3,500 บาทให้ไว้ จากนั้นก็นั่งรถสองแถวไปหาร้านทองตามที่ น.ส.วิลาวรรณ์บอกระยะทางกว่า 2 กิโลเมตร พอไปถึงก็ไม่มีร้านทอง มีแต่โรงรับจำนำ จึงรีบไปโทรศัพท์ที่ตู้สาธารณะเข้าที่มือถือของตนเอง ปรากฏว่าโทรศัพท์ปิดไปแล้ว ทำให้รู้ว่าถูกหลอก จึงรีบมาแจ้งความไว้ ซึ่งตนก็ไม่คิดว่าสงสารคนอื่นจะย้อนกลับมาทำร้ายตัวเอง ต่อไปคงต้องระวังให้มากกว่านี้
พ.ต.อ.พันธนะ กล่าวด้วยว่า เบื้องต้นแจ้งข้อหาร่วมกันฉ้อโกงทรัพย์ หรือรับของโจร ก่อนนำตัวส่งพนักงานสอบสวนดำเนินคดี ในวันนี้มีผู้เสียหายที่เคยถูกผู้ต้องหาแก๊งนี้หลอกลวง มาชี้ตัวกลุ่มผู้ต้องหาแล้ว 4 ราย ซึ่งเชื่อว่าน่าจะมีผู้เสียหายอีกหลายราย มูลค่าทรัพย์สินที่ได้ไปน่าจะมากกว่า 5 ล้านบาท ทั้งนี้หากมีผู้เสียหายรายใดเคยถูกผู้ต้องหาแก๊งนี้หลอกลวงไป มาดูตัวได้ที่สน.ร่มเกล้า.